คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1691/2534
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 467
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าซื้อข้าวบางส่วนคืนโดยอ้างว่าจำเลยส่งมอบข้าวน้อยกว่าจำนวนที่ตกลงกัน มิใช่ฟ้องในข้อรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวน ดังนั้นจึงนำอายุความตามมาตรา 467 มาปรับมิได้ การฟ้องเรียกเงินคืนในกรณีนี้มิได้มีอายุความกำหนดไว้.
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อข้าวสาร 100เปอร์เซ็นต์ชั้น 2 ของจำเลย ซึ่งเก็บอยู่ที่คลังสินค้า 9 ไทยซูการ์จำนวน 40,000 กระสอบ เป็นเงิน 24,160,000 บาท และซื้อข้าวสารหลายชนิด ซึ่งเก็บอยู่ที่คลังสินค้าบางปะอิน จำนวน 44,709.23กระสอบ เป็นเงิน 19,063,047.80 บาท โจทก์ได้ชำระราคาให้จำเลยเรียบร้อยแล้ว เมื่อโจทก์ไปรับข้าวสารปรากฏว่าข้าวสารในคลังสินค้า9 ไทยซูการ์ ขาดน้ำหนักคิดเป็นเงิน 183,525.91 บาท และขาดจำนวนคิดเป็นเงิน 27,180 บาท ข้าวในคลังสินค้าบางปะอินขาดน้ำหนักคิดเป็นเงิน 476,369.55 บาท และขาดจำนวนคิดเป็นเงิน 102,029 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 789,104.46 บาท แต่โจทก์ยอมให้จำเลยหักเป็นค่าเช่าและค่าใช้จ่ายเนื่องจากการที่โจทก์ไม่ได้ขนข้าวสารออกไปจากคลังสินค้า 9 ไทยซูการ์ ภายในกำหนดเวลาเป็นเงิน 557,318.20 บาทจำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์เป็นเงิน 231,786.26 บาท รวมกับเงินค้ำประกันซองที่จำเลยจะต้องคืนอีกจำนวน 50,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 281,786.26 บาท โจทก์เสียหายคิดเป็นเงินดอกเบี้ย5,283.49 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ 287,069.75บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 287,069.75 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประเด็นรวมทั้งให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันส่งมอบข้าวสาร
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาเพียงตามทุนทรัพย์ในเงินต้น ยังขาดในส่วนของดอกเบี้ยก่อนวันฟ้อง และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ครบ โจทก์ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้วเพิกเฉยไม่นำค่าขึ้นศาลดังกล่าวมาชำระในเวลาที่กำหนด ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
โจทก์ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ย ศาลย่อมไม่รับฟ้องอุทธรณ์ในเรื่องดอกเบี้ย แต่ต้องรับฟ้องอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับทุนทรัพย์ในต้นเงินที่เสียค่าธรรมเนียมถูกต้องแล้ว พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ ให้รับฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับทุนทรัพย์จำนวน281,786.26 บาทไว้
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน231,786.26 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "…ฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยที่ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าซื้อข้าวบางส่วนคืนโดยอ้างว่าจำเลยส่งมอบข้าวน้อยกว่าจำนวนที่ตกลงกันมิใช่ฟ้องในข้อรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวนดังนั้น จึงนำอายุความตามมาตรา 467 มาปรับมิได้ การฟ้องเรียกเงินคืนมิได้มีอายุความกำหนดไว้ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ…"
พิพากษายืน.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท มหาสารคาม จังหวัด พาณิชย์ (2523) จำกัด จำเลย - องค์การคลังสินค้า
ชื่อองค์คณะ มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ครีภูมิ สุวรรณโรจน์ พรชัย สมรรถเวช
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan