คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1703/2545
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 33, 36 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2465 ม. 26, 76
จำเลยเพียงแต่ซุกซ่อนกัญชาของกลางไว้ใต้เบาะนั่งด้านคนขับในรถยนต์ของกลางเท่านั้น รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ยานพาหนะหรือทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยตรง จึงไม่อาจริบได้ต้องคืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จำนวน1 แท่ง น้ำหนัก 107.18 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยกัญชาดังกล่าวและรถยนต์หมายเลขทะเบียนก-2314 กาญจนบุรี ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด เป็นของกลาง กัญชาของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และริบรถยนต์ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคสอง, 76 วรรคสอง จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ริบรถยนต์ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 24 ปีมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมากแล้ว และการที่จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมเป็นต้นเหตุทำให้ยาเสพติดให้โทษชนิดดังกล่าวแพร่ระบาดสู่ประชาชนทั้งทำให้ผู้คนตกเป็นทาสของยาเสพติดให้โทษจำนวนเพิ่มมากขึ้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นภัยต่อสังคมและประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ขอให้ริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-2314 กาญจนบุรี ของกลางโดยระบุในคำฟ้องว่าจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด และศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางดังกล่าวด้วยนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1ฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2543 ว่า จำเลยเพียงแต่ซุกซ่อนกัญชาของกลางไว้ใต้เบาะนั่งด้านคนขับในรถยนต์ของกลางเท่านั้น รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ยานพาหนะหรือทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยตรงจึงไม่อาจริบได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบของกลางดังกล่าวศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 โดยเห็นสมควรสั่งคืนแก่เจ้าของ"
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-2314 กาญจนบุรี ของกลางโดยให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรี จำเลย - นาย ราชา ประชากุล
ชื่อองค์คณะ พูนศักดิ์ จงกลนี ปัญญา สุทธิบดี กุลพัชร์ อิทธิธรรมวินิจ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan