
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าห้องแถวโจทก์ 2 ห้องโดยมิได้จดทะเบียนการเช่าค่าเช่าเดือนละ 40 บาท ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าห้องแถวดังกล่าวต่อไป จึงได้บอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลย จำเลยไม่ยอมออกการที่จำเลยยังคงอยู่ในห้องพิพาทเป็นการละเมิดโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาท และให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์เดือนละ 6,000 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาเช่าที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าตามสัญญา
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยความว่า ในการส่งสำเนาคำให้การและฟ้องแย้ง หากส่งไม่ได้ให้จำเลยแถลงภายใน 15 วันนับแต่ส่งไม่ได้ มิฉะนั้นถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้ง จำเลยไม่ได้แถลงต่อศาลภายในกำหนดดังกล่าว ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้งและสั่งจำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จึงใช้บังคับได้ 3 ปี โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าต่อจำเลยโดยชอบแล้ว พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้ เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาทซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่จำเลยอุทธรณ์ว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เพราะโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยเช่ามีกำหนด 30 ปีจำเลยได้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้างจำนวนหนึ่ง เสียค่าตอบแทนไปจำนวนหนึ่งและได้รับปรุงตกแต่งห้องพิพาทสิ้นเงินไปอีกจำนวนหนึ่ง อันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ยกขึ้นกล่าวว่าจำเลยได้เสียเงินค่าตอบแทนให้โจทก์ไปจำนวน 100,000 บาท สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จึงเป็นฎีกาไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยในคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้งและจำหน่ายคดีเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นแล้วนั้น ได้ความว่าเมื่อศาลแพ่งมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งได้สั่งว่าหมายเรียกส่งสำเนาคำให้การและฟ้องแย้งให้โจทก์แก้ฟ้องแย้งภายใน 8 วัน ส่งหมายเรียกไม่ได้ให้จำเลยแถลงภายใน 15 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ ถ้าไม่แถลงให้ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2522 เจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาฟ้องแย้งไปส่งให้โจทก์ แต่ส่งไม่ได้ ในวันที่ 13 ธันวาคม 2522 จำเลยจึงได้ยื่นคำแถลงต่อศาลว่า จำเลยได้นำเจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแย้งแก่โจทก์แล้ว แต่ส่งไม่ได้ จึงขอนำส่งใหม่ ดังนี้ เห็นว่า จำเลยทราบอยู่แล้วถึงการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแย้งไม่ได้ จำเลยจึงต้องแถลงให้ศาลทราบภายใน 15 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ คือภายในวันที่ 4 ธันวาคม 2522 เมื่อจำเลยยื่นคำแถลงขอนำส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแย้งในวันที่ 13 ธันวาคม 2522 จึงเกินกำหนด 15 วัน ถือว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลกำหนดเป็นการทิ้งฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ชอบที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนที่วินิจฉัยในประเด็นเรื่องการเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาการบอกเลิกสัญญาเช่าและเรื่องค่าเสียหาย ส่วนในประเด็นเรื่องทิ้งฟ้องแย้งและจำหน่ายคดีคงพิพากษายืน ทั้งนี้โดยให้คำนวณค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์500 บาท
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








