
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91, 335, 336 ทวิ, 339, 340 ตรี บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 115/2562 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,900 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก, (ที่ถูก วรรคหนึ่ง) 336 ทวิ, 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83, 340 ตรี การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 2 เดือน ฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปโดยใช้ยานพาหนะ จำคุกคนละ 15 ปี ฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุกคนละ 1 เดือน ฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปโดยใช้ยานพาหนะ คงจำคุกคนละ 7 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ คงจำคุกคนละ 9 เดือน รวมจำคุกคนละ 7 ปี 16 เดือน บวกโทษจำคุก 4 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 115/2562 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 20 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 1,900 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ ไม่ใช่ความผิดที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ คดีจึงรับฟังได้ตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ไม่จำต้องสืบพยาน ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 1 ลักข้าวเปลือก และผู้เสียหายไม่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแต่ทราบเรื่องจากเพื่อนบ้าน และพนักงานสอบสวนไม่ได้นำตัวเพื่อนบ้านมาเป็นพยานคดีนี้ คำเบิกความของผู้เสียหายเป็นพยานบอกเล่าจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองซึ่งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรรับการวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย สำหรับความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 เดือน คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นที่สุด ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในความผิดฐานดังกล่าวเช่นกัน คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะตามคำฟ้องข้อ 1.2 เป็นอันระงับไปหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนางสาวทองใบ ผู้เสียหาย โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง บัญญัติว่า ความผิดดังกล่าวถ้าเป็นการกระทำที่ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการี แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ มาด้วย แต่มาตรา 336 ทวิ เป็นบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดอาญา มาตรา 335 ต้องระวางโทษหนักขึ้นกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง หาใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากจากบทมาตราดังกล่าวไม่ การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 จึงเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง แล้ว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากร้อยตำรวจเอกนิกร พนักงานสอบสวนที่เบิกความว่า หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายมาพบพยานและขอถอนคำร้องทุกข์ในส่วนข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะสำหรับจำเลยที่ 1 แล้ว ดังนั้น สิทธิการนำคดีอาญาในความผิดฐานดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นอันระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น และการที่ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ย่อมเป็นผลให้คำขอในส่วนแพ่งสำหรับความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย 950 บาท ตกไปด้วย แม้จำเลยที่ 1 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า มีเหตุบรรเทาโทษหรือมีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะตามมาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุกก่อนลดโทษ 15 ปี ซึ่งเป็นอัตราโทษขั้นต่ำสุด และยังลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะลงโทษสถานเบากว่านี้ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ สำหรับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ คงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 7 ปี 7 เดือน ยกคำขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 950 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.3423/2567
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








