ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ประทานบัตรของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ประทานบัตรของโจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธ และต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ปัญหาวินิจฉัยมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคุลมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ซึ่งตั้งอยู่ตำบลตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และได้แนบสำเนาภาพถ่ายประทานบัตรพร้อมทั้งแผนที่ของประทานบัตรมาท้ายฟ้องด้วย ส่วนที่ดินซึ่งโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ประทานบัตรของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 11 ไร่ แม้โจทก์มิได้บรรยายถึงบริเวณที่ดินซึ่งจำเลยบุกรุกว่าอยู่ตอนใด ทิศไหน กว้างยาวเท่าไร และติดต่อกับอะไรบ้างก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายว่าเรื่องที่จำเลยบุกรุกนี้ โจทก์ได้ไปร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่อำเภอเบตงเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยให้จำเล่ยออกไปจากที่ประทานบัตรของโจทก์ พร้อมทั้งแนบสำเนาภาพถ่ายใบยอมความมาท้ายฟ้องด้วย ดังนั้นจำเลยย่อมจะทราบแล้วว่าบริเวณที่โจทก์กล่าวหาว่าบุกรุกนั้นอยู่ตอนไหน ทิศไหน กว้างยาวเท่าไร และติดต่อกับอะไรบ้าง ในคำให้การของจำเลยที่ปฏิเสธว่ามิได้บุกรุกก็อ้างเพียงว่ายังมิได้มีการรังวัดสอบเขตว่าบริเวณที่ดิน ซึ่งจำเลยปลูกต้นผลไม้จะรุกล้ำเข้าไปในเขตประทานบัตรหรือไม่ แสดงว่าจำเลยทราบแล้วว่าบริเวณที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยบุกรุกนั้นอยู่ตรงไหน คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









