ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2537 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจนำสบง จีวร และอังสะ อันเป็นเครื่องแต่งกายสำหรับพระภิกษุในพุทธศาสนามาแต่งกายโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นภิกษุในพุทธศาสนาโดยจำเลยไม่มีสิทธิแต่งกายเช่นนั้นได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 208 จำคุก 6 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยอุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยถูกต้อง มิใช่พระภิกษุปลอม พระเทพศีลวิสุทธิ์เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามจึงไม่มีอำนาจให้จำเลยสละสมณเพศตามคำสั่งมหาเถรสมาคมเรื่องห้ามพระภิกษุสามเณรเที่ยวเตร็ดเตร่และพักค้างแรมตามบ้านเรือน พ.ศ. 2521 ข้อ 6(2) ได้จำเลยยังไม่ขาดจากการเป็นพระภิกษุ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้องนั้นเห็นว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยบวชเป็นพระภิกษุที่วัดเฉลิมอาสน์ในปี 2520เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 ร้อยตำรวจโทเสริมศักดิ์ รุ่งเรืองนำจำเลยไปมอบให้ร้อยตำรวจโทสายนต์ ดีสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางกอกใหญ่ โดยมีนายกศม ยูงทองตามไปแจ้งความว่าจำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุโดยมิชอบและยุ่งเกี่ยวกับนางพูนศรี ยูงทอง ภริยาของนายกศม ร้อยตำรวจโทสายนต์ถามจำเลยเกี่ยวกับหนังสือสุทธิสำหรับพระภิกษุของจำเลย จำเลยบอกว่าหนังสือสุทธิหายไปนานแล้วร้อยตำรวจโทสายนต์จึงนำจำเลยไปพบพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามและมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเขตบางกอกใหญ่เพื่อให้สอบสวนจำเลยว่าเป็นพระภิกษุจริงหรือไม่ พระเทพศีลวิสุทธิ์และพระภิกษุผู้ใหญ่หลายรูปร่วมกันสอบสวนจำเลยแต่ไม่ได้ความชัดว่าขณะนั้นจำเลยจำพรรษาหรือสังกัดวัดใดพฤติกรรมของจำเลยในขณะนั้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย พระเทพศีลวิสุทธิ์ขอให้จำเลยสละสมณเพศในที่สุดจำเลยยินยอมแต่งกายด้วยชุดขาวโดยอ้างว่าเพื่อต่อสู้คดีเจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยและแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่า จำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุโดยมิชอบ จำเลยให้การปฏิเสธหลังจากนั้นอีก 2 วัน จำเลยได้รับอนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างสอบสวน จำเลยได้แต่งกายเป็นพระภิกษุโดยมิได้อุปสมบทใหม่ ครั้นถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2534 จำเลยนำหนังสือสุทธิของจำเลยไปแสดงต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่ฟ้องจำเลย และพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจำเลย ต่อมาวันที่ 23 มีนาคม 2537 นายกศมและพระครูวรกิจจานุกูล เจ้าคณะแขวงคันนายาว ซึ่งเป็นพระวินยาธิการกองงานเลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ไปแจ้งความต่อพันตำรวจโทเอนก ไพศรี พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลท่าพระว่า จำเลยสึกจากการเป็นพระภิกษุแล้วยังแต่งกายเป็นพระภิกษุและพักอาศัยอยู่ที่ตึกแถว เมื่อไปที่ตึกแถวตามที่ได้รับแจ้งจากนายกศมก็พบจำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุอยู่กับนางพูนศรีและบุตรสาวอีก 2 คน ได้พบหนังสือและวิดีโอลามกด้วย เจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยมาดำเนินคดี

มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวสมควรวินิจฉัยก่อนว่าเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 พระเทพศีลวิสุทธิ์เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามและมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเขตบางกอกใหญ่ได้สอบสวนจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพระภิกษุปลอมและยุ่งเกี่ยวกับนางพูนศรีภริยานายกศม แล้วขอให้จำเลยสละสมณเพศ การที่จำเลยยินยอมเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาวแทน ถือว่าจำเลยสละสมณเพศหรือพ้นจากการเป็นพระภิกษุแล้วหรือไม่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 29 ที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้นบัญญัติว่า "พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัด ไม่รับมอบตัวไว้ควบคุมหรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุมหรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้" เห็นว่า ตามบทกฎหมายดังกล่าวการสละสมณเพศเพราะถูกจับในข้อหาคดีอาญาแยกได้เป็น 3 กรณี คือ 1. เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสไม่ยอมรับตัวไว้ควบคุม พนักงานสอบสวนดำเนินการให้สละสมณเพศได้2. พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเห็นว่าไม่ควรปล่อยชั่วคราวและไม่ควรมอบตัวให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม ก็ดำเนินการให้สละสมณเพศได้ และ 3. พระภิกษุรูปนั้นไม่ได้สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งหรือเป็นพระจรจัด ก็ดำเนินการให้สละสมณเพศได้กรณีของจำเลยเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันที่ 25 มิถุนายน 2534 ร้อยตำรวจโทเสริมศักดิ์นำจำเลยไปมอบให้ร้อยตำรวจโทสายนต์พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางกอกใหญ่โดยมีนายกศมแจ้งว่าจำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุโดยมิชอบและยุ่งเกี่ยวกับนางพูนศรีภริยาของนายกศม ร้อยตำรวจโทสายนต์จึงนำจำเลยไปพบพระเทพศีลวิสุทธิ์เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามและมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเขตบางกอกใหญ่และพระภิกษุผู้ใหญ่อีกหลายรูปเพื่อสอบสวนจำเลยแล้วไม่ได้ความชัดว่าขณะนั้นจำเลยจำพรรษาและสังกัดวัดใด จำเลยยินยอมสึกจากการเป็นพระภิกษุโดยเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาว กรณีเห็นได้แจ้งชัดว่าจำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาและพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว ทั้งจำเลยมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง พนักงานสอบสวนก็ได้ดำเนินการให้จำเลยสละสมณเพศโดยนำจำเลยไปพบพระเทพศีลวิสุทธิ์และพระภิกษุผู้ใหญ่อีกหลายรูปเพื่อทำการสึกจำเลยจากการเป็นพระภิกษุ การที่จำเลยยินยอมเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาวเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้สละสมณเพศแล้วในขณะนั้นตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 29 ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของพระธรรมสิริชัยหรือพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามและเป็นรองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พระมหาสมเกียรติ โกวิโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม และพระมหาเสวย ชนสโภว่า พระภิกษุที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือต้องปาราชิกจะขาดจากการเป็นพระภิกษุทันทีโดยเจ้าคณะเขตหรือเจ้าคณะตำบลหรือเจ้าคณะแขวงสามารถให้พระภิกษุรูปนั้นสึกได้โดยไม่ต้องกล่าวคำอำลา สิกขา ที่จำเลยอ้างว่ายินยอมเปลื้องจีวร ออกเพื่อต่อสู้คดี ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยซึ่งได้สละสมณเพศแล้วกลับมาเป็นพระภิกษุใหม่อีก การที่จำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นพระภิกษุเป็นการกระทำที่เป็นความผิดตามฟ้อง แต่ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือนนั้นหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมแต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th