สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2540

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2540

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227

แม้โจทก์มีบ. ประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายเพียงปากเดียวแต่บ. มีโอกาสเห็นคนร้ายหลายครั้งและเห็นจำเลยที่2ในตลาดซึ่งแสงไฟฟ้าส่องสว่างบ.มีอาชีพเป็นยามมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในตลาดย่อมมีความระมัดระวังและต้องใช้ความสังเกตเป็นพิเศษเพราะจำเลยที่2ขับรถจักรยานยนต์มาวนเวียนอยู่ที่ตลาดหลายเที่ยวในเวลายามวิกาลเป็นการผิดปกติโดยเฉพาะตอนที่บ. เดินไปตีระฆังบอกเวลาได้เดินสวนกับจำเลยที่2ซึ่งนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ที่ซึ่งมีแสงไฟนีออนส่องสว่างเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวจำเลยที่2มาให้ดูหลังเกิดเหตุประมาณ19ชั่วโมงบ. ก็ยืนยันทันทีโดยไม่ลังเลว่าจำเลยที่2เป็นคนร้ายทั้งระบุด้วยว่าเพื่อนจำเลยที่2ที่ถูกจับมาด้วยอีกคนหนึ่งไม่ใช่คนร้ายบ. ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่2มาก่อนคำพยานมีเหตุผลและมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าจำเลยที่2ได้ไม่ผิดตัว

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340 ตรี,83, 371, 33, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบหัวกระสุนปืนของกลาง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 3,500 บาท แก่เจ้าของกับนับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1003/2535ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 192/2536 ของศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องภายหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธและจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 มาตรา 83 มาตรา 371พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ในกระทงความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ให้ลงโทษประหารชีวิตในกระทงความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี ในกระทงความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ให้ลงโทษตามมาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว เป็นการรับสารภาพเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน และไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณากรณีไม่มีเหตุบรรเทาโทษ และเมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1แล้ว ก็ไม่อาจลงโทษให้หนักขึ้นกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี หรือลงโทษจำคุกอีกได้คงให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1สถานเดียว จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี มาตรา 83 ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ให้ลงโทษประหารชีวิตและเมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้วก็ไม่อาจลงโทษให้หนักขึ้นอีกกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ได้อีกริบหัวกระสุนปืนของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 3,500 บาท แก่เจ้าของ ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1003/2535 หมายเลขแดงที่ 1255/2537 และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 192/2536 หมายเลขแดงที่ 538/2538(ที่ถูกเป็น 528/2538) ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1255/2537 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 จึงไม่มีโทษให้นับต่อได้ สำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้วจึงไม่อาจนับโทษต่อได้เช่นเดียวกัน คำขออย่างอื่นให้ยก

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ข้อหาชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) คงจำคุกตลอดชีวิต นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขแดงที่ 1255/2537และหมายเลขแดงที่ 528/2518 (ที่ถูกเป็น 528/2538) ของศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง นายนิพนธ์เฉลยคราม ผู้ตายถูกคนร้ายสองคนคือจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองคำโดยคนร้ายได้ทรัพย์ไปบางส่วน แล้วคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมามีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โจทก์มีนายบุญยืน บัวศรีซึ่งทำหน้าที่เป็นยามอยู่ในตลาดอ่างทองบริเวณที่เกิดเหตุเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 1 นาฬิกา พยานเห็นจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์โดยมีจำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายวนไปมาอยู่ในตลาดอ่างทองหลายเที่ยวจนกระทั่งเวลา 3 นาฬิกา พยานเดินไปตีระฆังบอกเวลาพบจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 จอดรถจักรยานยนต์อยู่ที่หน้าร้านแสงเจริญ พยานเดินผ่านจำเลยทั้งสองแล้วไปนั่งอยู่ที่หน้าป้อมตำรวจ ระหว่างนั้นมีรถยนต์กระบะสีแดงแล่นไปจอดที่ถนนห่างพยานประมาณ 60 เมตร มีแม่ค้า 5 ถึง 6 คน ลงจากรถไปซื้อสินค้า ที่กระบะท้ายรถยนต์มีชายคนหนึ่งนอนอยู่ ส่วนบนทางเท้ามีชายอีกคนหนึ่งใช้เสื่อปูนอน ต่อมาเวลา 3.10 นาฬิกา จำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์วนไปมาแล้วมาหยุดอยู่ที่หน้ารถยนต์กระบะแล้วจำเลยทั้งสองลงจากรถ ทันใดนั้นมีเสียงดังแช๊ะ ชายคนที่นอนอยู่บนทางเท้าลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าไปในซอยที่มีแผงลอยขายของวางอยู่แล้วจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์หลบหนี พยานเดินเข้าไปดูที่รถยนต์กระบะพบชายคนที่นอนอยู่บนรถเดินลงมาจากรถบอกแก่พยานว่าให้ช่วยนำส่งโรงพยาบาลชายคนนี้มีเลือดออกที่ปากพยานเข้าใจว่าถูกตีพยานเห็นในมือของชายคนดังกล่าวกำสร้อยคอทองคำไว้ระหว่างนั้นมีญาติของชายดังกล่าวพานำส่งโรงพยาบาลส่วนพยานไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เห็นว่า แม้โจทก์จะมีนายบุญยืนเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่พยานมีโอกาสเห็นคนร้ายหลายครั้งและเห็นจำเลยที่ 2 ในตลาดซึ่งแสงไฟฟ้าส่องสว่าง พยานมีอาชีพเป็นยามมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในตลาดย่อมจะมีความระมัดระวังและต้องใช้ความสังเกตเป็นพิเศษเพราะจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์มาวนเวียนอยู่ที่ตลาดหลายเที่ยวในเวลายามวิกาลเป็นการผิดปกติโดยเฉพาะตอนที่พยานเดินไปตีระฆังบอกเวลา 3 นาฬิกา พยานเดินสวนกับจำเลยที่ 2 ซึ่งนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ที่หน้าร้านแสงเจริญซึ่งมีแสงไฟนีออนส่องสว่าง พยานได้สังเกตุดูจำเลยที่ 2และรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับด้วย และในวันเดียวกันเวลา22 นาฬิกา เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวจำเลยที่ 2 มาให้พยานดูพยานก็ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีโดยไม่ลังเลว่าจำเลยที่ 2เป็นคนร้ายซึ่งขับรถจักรยานยนต์มาจอดหน้ารถยนต์กระบะของผู้ตายในคืนเกิดเหตุ ทั้งระบุด้วยว่าเพื่อนจำเลยที่ 2 ที่ถูกจับมาด้วยอีกคนหนึ่งไม่ใช่คนร้าย โดยที่ระยะเวลาเกิดเหตุกับตอนที่พยานพบและยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายห่างกันเพียงประมาณ 19ชั่วโมงเชื่อว่าพยานจำจำเลยที่ 2 ได้ไม่ผิดตัว พยานไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อน คำพยานมีเหตุผลและมีน้ำหนักน่าเชื่อถือที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้องกับนายเสน่ห์ ผลชล ซึ่งเป็นน้องชายจำเลยที่ 2 และมีรูปร่างหน้าตาคล้ายจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่าแม้จำเลยที่ 1 จะมาเบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 2 ในทำนองเดียวกันว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำความผิดตามฟ้องกับนายเสน่ห์ซึ่งเป็นน้องชายจำเลยที่ 2 และมีรูปร่างหน้าตาคล้ายจำเลยที่ 2 ดังที่จำเลยที่ 2 อ้างก็ตาม แต่ปรากฎว่าในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1กลับให้การว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับนายกริชณ์หรือโอ นิ่มน้อยซึ่งเป็นเพื่อนจำเลยที่ 1 ชิงทรัพย์ผู้ตายซึ่งแตกต่างขัดแย้งไปจากที่ให้การในชั้นศาล พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 จึงไม่น่าเชื่อถือและไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1ใช้เงินจำนวน 3,500 บาท เป็นค่าพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ราคา 2,500 บาท ตะขอทองคำ 1 อัน ราคา 1,000 บาท ที่ถูกชิงทรัพย์ไปแก่เจ้าของนั้น ปรากฎตามคำเบิกความของนางตะภาค จำนงค์เวช ภรรยาผู้ตายว่า ตะขอที่คล้องสร้อยคอนั้นมีคนเก็บได้และนำมาคืนให้แก่พยานแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน3,500 บาท แก่เจ้าของจึงไม่ถูกต้อง และปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ฎีกาศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน2,500 บาท แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดอ่างทอง จำเลย - นาย เรียม ผลชล กับพวก

ชื่อองค์คณะ จำลอง สุขศิริ เสริม บุญทรงสันติกุล สมบัติ เดียวอิศเรศ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE