คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1806/2545
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195, 225
เมื่อจำเลยที่ 1 นำกัญชามาที่จุดนัดหมายอันเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานจำหน่ายกัญชาแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบกัญชาให้แก่สิบตำรวจโท ว. ก็ปรากฏว่า สิบตำรวจโท ว. กับพวกได้เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 เสียก่อน การกระทำความผิดดังกล่าวของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำไปไม่ตลอด จำเลยทั้งสองจึงยังไม่มีความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายกัญชา คงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ปัญหาว่าการกระทำเป็นความผิดสำเร็จหรืออยู่ในขั้นพยายามกระทำความผิดดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7, 8, 26, 75, 76, 102 ริบกัญชาของกลาง และคืนเงิน 10,000 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 75 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง ป.อ. มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายกัญชา จำคุกคนละ 8 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี ริบกัญชาของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ ส่วนเงินที่ใช้ล่อซื้อ 10,000 บาท คืนให้แก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง ป.อ. มาตรา 83 จำคุกคนละ 8 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยที่ 2 คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสอง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 5 ปี 4 เดือน ยกฟ้องข้อหาจำหน่ายกัญชา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองและยึดได้กัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 7 ห่อ น้ำหนัก 6.87 กิโลกรัม กับธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 10 ฉบับ เป็นของกลางสำหรับความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานจำหน่ายกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เห็นว่า หลักจากที่พยานโจทก์ได้มอบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อให้สายลับไปติดต่อขอซื้อกัญชาจากจำเลยทั้งสองแล้ว สายลับได้กลับมาบอกว่าไปตกลงกับจำเลยทั้งสองเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยจำเลยทั้งสองนัดส่งมอบกัญชาให้ที่จุดนัดหมายเวลา 19 นาฬิกา ซึ่งก็ปรากฏว่าต่อมาเวลา 19.30 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ได้นำกัญชาจำนวนเดียวกับที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาเพื่อส่งมอบที่จุดนัดหมาย และต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกันจำเลยที่ 1 ได้มาขอเก็บเงินค่ากัญชาดังกล่าวจากสิบตำรวจโทวชิระที่จุดนัดหมายตรงตามคำบอกเล่าของสายลับ พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวมาบ่งชี้ชัดรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า สายลับได้ไปติดต่อเจรจาตกลงซื้อขายกัญชาจากจำเลยทั้งสองและนัดส่งมอบกัญชากันที่จุดนัดหมายจริง จำเลยทั้งสองจึงได้มายังจุดนัดหมาย โดยจำเลยที่ 1 นำกัญชามาก่อนเพื่อส่งมอบแก่ผู้ซื้อ แล้วจำเลยที่ 2 ตามมาในภายหลังเพื่อเก็บเงินค่ากัญชาจากผู้ซื้ออันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้อ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำความผิด แต่เจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้งจับกุมจำเลยทั้งสองขู่บังคับทำร้ายให้รับสารภาพ และได้นำกระดาษมาให้จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไปโดยไม่ทราบข้อความนั้น จำเลยทั้งสองเพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งมิได้ถามค้านขณะพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนเข้าเบิกความเพื่อชี้ให้เห็นถึงพฤติการณ์ดังที่จำเลยทั้งสองอ้าง นอกจากนั้นในชั้นจับกุมเมื่อจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมก็ได้ระบุในบันทึกการจับกุมไว้เช่นนั้น ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ อย่างไรก็ดีพฤติการณ์ในการจับกุมจำเลยทั้งสองปรากฏว่า เมื่อจำเลยที่ 1 นำกัญชามาที่จุดนัดหมาย อันเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานจำหน่ายกัญชาแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบกัญชาให้แก่สิบตำรวจโทวชิระ ก็ปรากฏว่าสิบตำรวจโทวชิระกับพวกได้เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 เสียก่อน การกระทำความผิดดังกล่าวของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำไปไม่ตลอด จำเลยทั้งสองจึงยังไม่มีความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายกัญชา คงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ปัญหาว่าการกระทำเป็นความผิดสำเร็จหรืออยู่ในขั้นพยายามกระทำความผิดดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาจำหน่ายกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 75 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.อ. มาตรา 80, 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตกับฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเลย - นายเพชร ชูทรัพย์ กับพวก
ชื่อองค์คณะ ประชา ประสงค์จรรยา ไชยวัฒน์ สัตยาประเสริฐ องอาจ โรจนสุพจน์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี - นายประโลม คเชนทร์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 - นายปกรณ์ วงศาโรจน์