คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2545
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 349
การที่ ด. ผู้ค้ำประกันมีหนังสือถึงโจทก์ขอผ่อนชำระหนี้ทั้งหนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งควรจะชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นในครั้งเดียวแต่ก็ขอแบ่งชำระเป็นงวด ๆ เป็นเพียงเปลี่ยนแปลงวิธีชำระหนี้เก่าให้ผิดไปจากเดิม มิใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้จึงไม่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ที่จะทำให้หนี้ระงับ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันอีกคนหนึ่งจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คไว้กับโจทก์ในวงเงินไม่เกิน 2,000,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20 ต่อปีและตกลงให้โจทก์ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยได้ตามประกาศของทางราชการและในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 2 และนายดำริห์ ก่อนันทเกียรติ ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ในวงเงินไม่เกินวงเงินดังกล่าวข้างต้น โดยยินยอมร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)สาขายศเส ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2537 จำนวนเงิน 2,000,000 บาท มาขายลดแก่โจทก์และรับเงินไปเรียบร้อยแล้ว ต่อมาธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2537 โจทก์ทวงถามไปยังจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนายดำริห์แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ชำระดอกเบี้ยบางส่วน เมื่อคำนวณถึงวันฟ้องแล้วจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ต้นเงิน 2,000,000 บาท และดอกเบี้ย 299,176.80 บาทรวมเป็นเงิน 2,299,176.80 บาท นายดำริห์ได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดก ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จากต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาขายลดเช็คและนำเช็คไปขายให้กับโจทก์ตามฟ้อง แต่โจทก์มีเจตนาซื้อเช็คไว้เป็นสินค้าชนิดหนึ่งโจทก์จึงเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในเช็คหากเกิดภัยพิบัติหรือความชำรุดเสียหายโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์จึงต้องรับกรรมไปตามหลักเรื่องกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 3 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า นายดำริห์ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ขอผัดผ่อนชำระหนี้โจทก์ได้ยอมรับและไม่ปฏิเสธตามหนังสือข้างต้นหนี้ที่เกิดจากสัญญาขายลดเช็คจึงเป็นการรับสภาพหนี้และเป็นการแปลงหนี้ใหม่ หนี้ตามสัญญาขายลดเช็คจึงเป็นอันระงับสิ้นไปโดยการแปลงหนี้ใหม่ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดอีกต่อไปขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,060,904.11 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ในต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันที่ 27เมษายน 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 238,272.69 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่าเมื่อวันที่ 6กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายลดเช็คไว้แก่โจทก์ในวงเงิน2,000,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20 ต่อปี และตกลงให้โจทก์ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยได้ในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 2 และนายดำริห์ ก่อนันทเกียรติได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินทุกชนิดบรรดาที่จำเลยที่ 1 ได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งหมดโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2534 จำนวนเงิน 2,000,000บาท ไปขายลดไว้แก่โจทก์ โจทก์ได้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ครั้นเมื่อวันที่ 27ธันวาคม 2537 ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน…
ปัญหาตามฎีกาประการที่สองมีว่า ตามเอกสารหมาย ล.1 ฉบับลงวันที่12 พฤษภาคม 2538 นั้น นายดำริห์ ก่อนันทเกียรติ ยอมรับผิดต่อโจทก์ในหนี้ทั้งตามสัญญาขายลดเช็คและหนี้ของบริษัทยูนิคอด จำกัด โดยนำยอดหนี้มาร่วมกันและขอผ่อนชำระเป็นงวด ๆ อันเป็นการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของหนี้เป็นการแปลงหนี้ใหม่ มิใช่รับสภาพหนี้ใหม่ อันเป็นผลให้หนี้เดิมระงับเมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องนั้นเห็นว่า อันการแปลงหนี้ใหม่นั้นเป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีที่เกี่ยวข้องมุ่งประสงค์จะระงับหนี้เก่าแล้วก่อให้เกิดหนี้สินความผูกพันอันใหม่ผูกพันกันต่อไป โดยตกลงกันเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้แต่เมื่อพิจารณาเอกสารหมาย ล.1 โดยละเอียดแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นเพียงหนังสือที่นายดำริห์มีไปถึงโจทก์เพื่อขอผ่อนชำระหนี้ทั้งหนี้ของจำเลยที่ 1 และหนี้ของบริษัทยูนิคอดจำกัด ซึ่งควรจะชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นในครั้งเดียว แต่ก็ขอแบ่งชำระเป็นงวด ๆ เท่านั้น จึงเป็นเพียงเปลี่ยนแปลงวิธีชำระหนี้เก่าให้ผิดไปจากเดิม หาเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้แต่ประการใดไม่ดังนั้น ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 จึงฟังไม่ขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20 ต่อปี ในต้นเดือน 2,000,000 บาท นับแต่วันที่28 กุมภาพันธ์ 2538 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ศรีนคร จำกัด จำเลย - บริษัท เยนเนอรัลอะโกร จำกัด กับพวก
ชื่อองค์คณะ วิบูลย์ มีอาสา ศุภชัย ภู่งาม วีระศักดิ์ รุ่งรัตน์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan