ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกที่เช่า แล้วคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยขออยู่ในตึกพิพาทต่อไป ถึงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๐๔ แล้วจะส่งมอบคืนโจทก์ และยอมใช้เงินให้แก่โจทก์ ต่อมาเมื่อถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ออกไป โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้จับจำเลยมาจำขัง ศาลหมายเรียกจำเลยมาสอบถาม จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า สัญญาประนีประนอมยอมความได้ระงับไปแล้ว โดยโจทก์จำเลยได้ตกลงกันใหม่ โจทก์ยินยอมให้จำเลยเช่าตึกพิพาทต่อไป ครั้นถึงวันนัดพร้อม มีแต่จำเลยที่ ๒ มาศาลและแถลงว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าใหม่ แต่เป็นการพูดกันด้วยปาก ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์แถลงว่าไม่ได้ให้เช่าใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ ๒ ออกจากตึกพิพาทภายใน ๗ วัน ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้ออกหมายจับ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นควรไต่สวนคำร้องของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๙๘ ก่อนมีคำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามมาตรา ๒๙๘ วรรค ๔ นั้น ศาลมีอำนาจที่จะพิจารณาถึงข้อแก้ตัวของจำเลยว่าเป็นข้อแก้ตัวอันดีหรือไม่ แล้วมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร ที่จำเลยที่ ๒ แสดงข้อแก้ตัวว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าตึกพิพาทใหม่แล้ว แต่ไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ โจทก์ปฏิเสธว่ามิได้ให้จำเลยเช่าใหม่ แม้จะไต่สวนต่อไปได้ความตามที่จำเลยแก้ตัว จำเลยก็ไม่อาจจะขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้จำเลยเช่าได้ เพราะไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ ผลก็คือจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในตึกพิพาทได้ ศาลไม่จำเป็นต้องไต่สวนตามข้อแก้ตัว
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








