ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 92, 288, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ส่วนฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าได้ทำร้ายร่างกายโดยอ้างเหตุป้องกันและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8), 376 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสาม จำคุก 8 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 11 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา นายพีรพงษ์ นายโรจนศักดิ์ มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับนายรุ่งโรจน์กับพวก ที่บริเวณริมแม่น้ำปิง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 นายพีรพงษ์ส่งข้อความทางแอปพลิเคชันเมนเซนเจอร์ไปหานางสาวเพชรรัตน์ เพื่อนของนายรุ่งโรจน์ให้นัดเจรจาเรื่องทะเลาะวิวาทที่คูเมืองด้านหลังวิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชรเวลา 16 นาฬิกา แต่นายพีรพงษ์ไม่ไป จึงนัดเจรจากันใหม่ที่บริเวณหน้าร้านข้าวมันไก่แจ้ซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลเอกชนเมืองกำแพงเพชร จากนั้นกลุ่มของนายพีรพงษ์ นายโรจน์ศักดิ์ ซึ่งเป็นน้องชายของจำเลยที่ 2 กับพวกไปรออยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ต่อมานายรุ่งโรจน์ นายกานต์นิธิผู้เสียหาย นายฉัตรชัย นายสุทธิวัฒน์ และนายพีรภัทรกับพวก เดินทางไปที่บริเวณหน้าร้านที่เกิดเหตุซึ่งเป็นร้านของจำเลยทั้งสองสามีภริยากัน โดยผู้เสียหายพกอาวุธมีดติดตัวไปด้วย จำเลยที่ 1 นำปืนบีบีกัน (ปืนอัดลม) ออกมาจากบ้านใกล้ที่เกิดเหตุ และใช้จำเลยที่ 2 หยิบอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวพร้อมกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 3 นัด มาให้จำเลยที่ 1 จากนั้นจำเลยที่ 1 ใช้ปืนบีบีกัน (ปืนอัดลม) ยิงผู้เสียหาย 1 ถึง 2 นัด ผู้เสียหายถืออาวุธมีดเดินเข้ามาหาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวยิงผู้เสียหาย 1 นัด กระสุนถูกผู้เสียหายที่ข้อศอกขวา กระดูกข้อศอกขวาหัก เส้นประสาทขาด ต้องรักษาโดยการผ่าตัดใส่เฝือกและกายภาพบำบัด นางสาวแสงดาวพี่สะใภ้ของจำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองกำแพงเพชร เจ้าพนักงานตำรวจเดินทางไปที่เกิดเหตุยึดอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวและปลอกกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 1 ปลอก เป็นของกลาง

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายกับพวก เป็นฝ่ายไปที่ร้านของจำเลยทั้งสองเพื่อตกลงปัญหาระหว่างนายรุ่งโรจน์พวกของผู้เสียหายกับนายพีรพงษ์ซึ่งเป็นพวกของน้องชายจำเลยที่ 2 โดยตกลงให้นายรุ่งโรจน์กับนายพีรพงษ์ชกต่อยกันตัวต่อตัว แต่จำเลยที่ 1 เดินถือปืนบีบีกันมาที่เกิดเหตุเสียก่อน แล้วไล่ให้กลุ่มผู้เสียหายออกไปจากที่เกิดเหตุแต่ผู้เสียหายไม่ยอมกลับ ขณะนั้นผู้เสียหายยืนเอามือไพล่หลังถืออาวุธมีดอยู่ในมือ จำเลยที่ 1 ถามผู้เสียหายว่า "มึงเอามีดออกมาทำไม" ผู้เสียหายตอบว่า "เอามาแทงแกไง" จำเลยที่ 2 พูดว่าเราไม่รู้จักกันมาก่อนทำไมมาพูดแบบนี้ให้กลับออกไป แต่ผู้เสียหายไม่ยอมกลับ จำเลยที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 2 หยิบอาวุธปืนมาโดยเจตนาเอามาขู่เพื่อไล่ผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการสมัครใจวิวาทกับผู้เสียหาย เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของร้านที่เกิดเหตุย่อมมีความชอบธรรมที่จะไล่กลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นชายฉกรรจ์และมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการวิวาทกันให้ออกไปจากที่เกิดเหตุได้ แต่ผู้เสียหายไม่ยอมออกไปจากที่เกิดเหตุ จึงเป็นการกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของจำเลยทั้งสองโดยปกติสุข การที่จำเลยที่ 1 ใช้ปืนบีบีกันซึ่งไม่มีอานุภาพรุนแรงที่สามารถทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายได้ ยิงผู้เสียหายไปก็เพื่อข่มขู่ผู้เสียหายให้ตกใจกลัวและรีบออกไปจากที่เกิดเหตุโดยเร็วเท่านั้น ครั้นผู้เสียหายถูกยิงแล้วแทนที่จะรีบออกไปจากที่เกิดเหตุ แต่ผู้เสียหายกลับเดินเข้าไปหาจำเลยที่ 1 ทั้งที่ในมือถืออาวุธมีดอยู่ด้วย ทำให้เชื่อว่าผู้เสียหายจะเข้าไปใช้อาวุธมีดแทงจำเลยที่ 1 อย่างแน่นอน การที่ผู้เสียหายอ้างว่าจะเข้าไปแย่งอาวุธปืนจากจำเลยที่ 1 นั้น จึงไม่สมเหตุผลและไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวซึ่งถือด้วยมือข้างซ้ายยิงผู้เสียหายที่บริเวณแขนข้างขวาซึ่งผู้เสียหายถืออาวุธมีดอยู่เพียง 1 นัด และไม่ได้ยิงผู้เสียหายซ้ำอีกทั้งที่จำเลยที่ 1 ยังมีลูกกระสุนปืนเหลืออยู่ เมื่อผู้เสียหายยกมือพูดขอโทษ จำเลยที่ 1 ก็กลับเข้าบ้านไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและกระทำพอสมควรแก่เหตุ เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่จำเลยที่ 2 นำอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวมาส่งให้จำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำความผิดไปด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส และฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนมานั้น ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 6 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.2704/2566

แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th