ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 2,500 บาท รับเงินไปครบถ้วนแล้วสัญญาจะให้ดอกเบี้ยตามกฎหมาย จำเลยผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ยและต้นเงินคืน ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ทำหนังสือกู้ให้โจทก์จริง เนื่องจากโจทก์จ้างเหมาจำเลยให้เจาะน้ำบาดาลเป็นเงิน 3,300 บาท จำเลยรับเงินล่วงหน้าเป็นค่าอุปกรณ์ 2,500 บาท จากโจทก์ โจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้เมื่อจำเลยทำงานแล้ว ได้ขอให้โจทก์ซื้อเครื่องสูบน้ำอีกเป็นเงิน 1,500 บาท จึงรวมกับเงินที่รับล่วงหน้า 4,000 บาท เมื่อคิดหักกับค่าจ้างเหมาแล้ว จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 700 บาท
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าเป็นเรื่องจำเลยรับเหมาเจาะน้ำบาดาล พิพากษาให้จำเลยชำระเงินดอกเบี้ยในต้นเงิน 2,500 บาท ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีและให้จำเลยชำระเงินที่ค้าง 700 บาท กับดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ไม่ได้ พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์โดยเหตุใดอันเป็นการนำสืบถึงมูลหนี้ ไม่ได้เป็นการนำสืบแสดงว่าไม่ได้เป็นหนี้ และเป็นการนำสืบถึงว่าโจทก์ก็เป็นหนี้จำเลยในเรื่องโจทก์จ้างจำเลยเจาะน้ำบาดาล 3,300 บาท เมื่อได้หักหนี้กันแล้ว จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียง 700 บาท การนำสืบของจำเลยมิใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร แต่เป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่าโจทก์จำเลยเป็นหนี้ต่อกันอย่างไร และได้มีการหักหนี้กันแล้วอย่างไร จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่อีกเท่าใดจำเลยย่อมนำพยานบุคคลมาสืบได้แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบ
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









