ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 65251 จำเลยได้เข้ามาปลูกสร้างบ้านทำรั้วล้อมรอบ ให้จำเลยรื้อถอนบ้านและรั้วออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยห้ามโจทก์เกี่ยวข้องให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยและเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จากโจทก์เป็นชื่อของจำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาท จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่65251 ตำบลสามเสนใน (สามเสนในฝั่งเหนือ) อำเภอพญาไท (บางซื่อ)จังหวัดพระนคร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ให้ยกฟ้องโจทก์กับฟ้องแย้งข้ออื่นของจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่กรรม นางสาวเพลินจันทร์เองไพบูลย์ทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลฎีกาอนุญาต

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงจากคำฟ้องคำให้การและทางนำสืบของโจทก์จำเลยฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2515 โจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 65251 จำเลยซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่65248, 65249, 65250 และ 65252 จากนางสมนึก เหลี่ยมมณีพร้อมกัน ที่ดินทั้งหมดดังกล่าวเป็นที่ดินจัดสรรแบ่งเป็นแปลง ๆเริ่มตั้งแต่โฉนดเลขที่ 65248 เรียงตามลำดับขึ้นไปจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือ เมื่อซื้อแล้วโจทก์และจำเลยต่างถมดินลงในที่ดินที่ตนเองคิดว่าอยู่ในโฉนดของตนและจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านลง 1 หลังเลขที่ 779 ส่วนโจทก์ปลูกบ้านให้คนเช่า จำเลยได้ล้อมรั้วด้วย ต่อมาพ.ศ. 2529 โจทก์จำเลยได้ทำการตรวจสอบจึงได้ทราบว่า จำเลยได้ถมดินและล้อมรั้วในที่ดินตามโฉนดเลขที่ 65249, 65250 และ 65251แปลงพิพาทด้วย ซึ่งเป็นที่ดินผืนเดียวกันและปลูกบ้านลงเต็มเนื้อที่ของแปลงพิพาทด้วย ส่วนบ้านที่โจทก์ปลูกให้คนเช่าอยู่ในโฉนดเลขที่65252 ของจำเลย จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทและโจทก์ครอบครองที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 65252 มาเกินกว่า 10 ปีแล้วพิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาในประการแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตามที่ได้ตกลงซื้อกับเจ้าของโดยเจตนาครอบครองที่ดินของตนเองเป็นเรื่องโอนโฉนดผิดพลาดสลับกันจึงไม่ใช่กรณีครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์แม้จะเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเอง แต่จำเลยก็ยึดถือครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของไม่จำเป็นว่าจำเลยจะต้องรู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้วแย่งการครอบครองเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินของโจทก์โดยเข้าใจผิดว่าเป็นของจำเลยเองโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินสิบปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th