ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดที่ 2544 เป็นที่ธรณีสงฆ์ของโจทก์ มีอาณาเขตติดกับที่ดินโฉนดที่ 2541 ของจำเลยที่ 1 และที่ดินโฉนดที่2542 ของจำเลยที่ 2 มีคันนาระหว่างที่ดินโจทก์จำเลย จำเลยขุดทำลายคันนาและบุกรุกเข้าไปยกคันนาใหม่ในที่ดินของโจทก์ ขอให้พิพากษาห้ามจำเลย จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดที่ 2544 ของโจทก์มีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินโฉนดที่ 2541 ของจำเลยที่ 1 และที่ดินโฉนดที่ 2542 ของจำเลยที่ 2 ทางด้านใต้จริง เป็นที่ดินที่จำเลยแต่ละคนได้มาทางมรดกและได้ครอบครองมาเป็นเวลาเกินกว่า 50 ปีแล้ว ไม่เคยทำลายคันเขตและบุกรุก ศาลชั้นต้นให้โจทก์สืบก่อน โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นว่าควรให้จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย 3 ข้อ ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องโจทก์ซึ่งกล่าวอ้างว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทซึ่งอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์และเป็นที่ธรณีสงฆ์ กับคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ และว่าที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้วประเด็นที่จะต้องพิจารณาจึงมีเพียงว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์หรือจำเลยเท่านั้นโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ จึงมีหน้าที่ต้องนำพยานมาสืบก่อน อนึ่ง ตามคำให้การของจำเลยก็เห็นได้อยู่แล้วว่า จำเลยมิได้ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในโฉนด หรือต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อโจทก์โจทก์จะยกเอาข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1373 มาเป็นประโยชน์ในคดีนี้ว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายข้อนี้ จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายนำพยานมาสืบก่อนดังโจทก์กล่าวหาได้ไม่ ปัญหาข้อกฎหมายข้อสองนั้น ปรากฏจากข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังต้องกันเป็นที่ยุติแล้วว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยทั้งสอง มิได้ฟังว่า ที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ ก็ไม่จำต้องหยิบยกเอาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505ในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัติว่าด้วยที่ธรณีสงฆ์มาพิจารณาใช้บังคับแก่คดีนี้เพราะไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงที่ธรณีสงฆ์ ส่วนปัญหาข้อกฎหมายข้อสุดท้ายนั้น เห็นว่า จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีไว้โดยชัดแจ้งว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด ไม่ใช่ที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์แม้จำเลยจะมิได้ฟ้องแย้งมาด้วยก็ตาม ก็มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย ศาลย่อมวินิจฉัยไปตามประเด็นนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องให้จำเลยฟ้องแย้งคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองที่เชื่อว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยทั้งสอง จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแล้ว หาได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ดังโจทก์ฎีกาไม่ พิพากษายืน.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th