
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 (เดิม) ให้จำคุก 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของจำเลยไม่พอฟังว่าจำเลยทำร้ายนายทักษ์สิน ผู้เสียหาย เพื่อป้องกันตัวในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์เพียงขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกเท่านั้น มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อนี้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงเป็นอันยุติ จำเลยไม่อาจยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ก็หาก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยในการฎีกาไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยใช้ไม้หน้าสามฟาดผู้เสียหายที่ศีรษะด้านซ้าย 1 ครั้ง และชกต่อยที่บริเวณใบหน้าของผู้เสียหายหลายครั้ง มีบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะด้านซ้ายยาว 5 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย แสดงว่าจำเลยใช้ไม้ฟาดผู้เสียหายที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอย่างแรง ทั้งหลังเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย อันเป็นการรู้สำนึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยหลังลดโทษแล้ว จำคุก 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้นนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.2851/2567
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา







