สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117/2522

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2116 - 2117/2522

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90, 147, 157, 264, 268

จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมลายมือชื่อของบุคคลอื่นหลายคนลงในบัญชีหลักฐานการจ่ายค่าแรงงาน ซึ่งความจริงบุคคลเหล่านั้นไม่เคยทำงาน และไม่ได้รับเงิน แล้วจำเลยกับพวกได้เสนอบัญชีหลักฐานการจ่ายค่าแรงนี้ไปขอเบิกเงินจากทางราชการ และเบียดบังเอาเงินจำนวนนั้นไปเป็นของ ตนและผู้อื่นเสียโดยทุจริตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,264,268 นั้น เห็นได้ว่าการที่จำเลยกับพวกปลอมและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว ก็โดยเจตนาที่จะใช้เป็นหลักฐานในการเบียดบังยักยอกเงินอันเป็นค่าแรงนั่นเอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 อันเป็นบทหนัก

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับพวกต่างเป็นกรรมการสภาตำบลไดับังอาจร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรม โดยปลอมลายมือชื่อของบุคคลหลายคนลงในบัญชีหลักฐานการจ่ายเงินค่าจ้างแรงงาน ซึ่งความจริงบุคคลเหล่านั้นไม่เคยทำงานและไม่ได้รับเงิน นอกจากนี้จำเลยกับพวกยังได้บังอาจทำหลักฐานการจ่ายเงินอันเป็นเท็จแล้วเสนอต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 264, 268, 352

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ปลอมเอกสาร และเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามฟ้องทั้งสองสำนวน สำหรับจำเลยที่ 1 แม้โจทก์ฟ้องต่างสำนวน แต่ตามที่โจทก์นำสืบปรากฏว่าทั้งสองสำนวนเป็นความผิดกรรมเดียว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 264, 268, 83, 90 แต่ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 จำคุกคนละ10 ปี และตามมาตรา 268 จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 12 ปี

โจทก์อุทธรณ์ขอให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1 ทั้งสองสำนวน

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับบุคคลอื่นกระทำผิด2 โครงการโดยบุคคลเวลาและสถานที่ต่างกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน มิใช่กรรมเดียวดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ต้องเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1 ทั้งสองสำนวน พิพากษาแก้เป็นว่าให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1ทั้งสองสำนวนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 536/2520 จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 147 จำคุก 5 ปี ตามมาตรา 264, 268จำคุก 1 ปี รวมโทษจำคุก 6 ปี สำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 537/2520 จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 147 จำคุก 10 ปี ตามมาตรา 264, 268 จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 12 ปี ฯลฯ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ร่วมกันทำปลอมเอกสารบัญชีหลักฐานการจ่ายเงินค่าจ้างแรงงานราษฎร และได้เสนอบัญชีอันเป็นหลักฐานเท็จนี้ไปขอเบิกเงินจากทางราชการ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้องทั้งสองสำนวน และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ปลอมและใช้เอกสารปลอมก็โดยมีเจตนาที่จะใช้เป็นหลักฐานในการเบียดบังยักยอกทรัพย์นั้นเอง การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามโดยแยกเป็นความผิดคนละกรรมนั้น ยังไม่ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 264, 268 แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147อันเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 10 ปี และจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 264, 268 แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 อันเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 5 ปี ให้นับโทษจำเลยที่ 1 ทั้งสองสำนวนติดต่อกันไป

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดอุตรดิตถ์ จำเลย - นายประสิทธิ์ จอมสืบ กับพวก

ชื่อองค์คณะ ขจร หะวานนท์ พิสัณห์ ลีตเวทย์ จรัญ สำเร็จประสงค์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE