คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2148/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 188
คำว่า "เอาไปเสีย" ตามมาตรา 188 มิได้มีความหมายเป็นอย่างเดียว กับคำว่า "เอาไป" ที่ใช้ในความผิดข้อหาลักทรัพย์ตามมาตรา 334 แต่หมายถึงการเอาไปจากที่เอกสารนั้นเคยอยู่ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนที่อาจต้องขาดเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐาน การกระทำที่จะเป็นความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น จึงต้องเป็นการเอาเอกสารของผู้อื่นไปโดยพลการ มิใช่ครอบครองเอกสารนั้นไว้โดยความยินยอมของผู้อื่น
ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยเป็นผู้ครอบครองและเก็บรักษาต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านไว้ แม้ต่อมาผู้เสียหายไม่ประสงค์ให้จำเลยครอบครองเอกสารดังกล่าวไว้แทน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านตามฟ้องคืนให้แก่ผู้เสียหาย แต่จำเลยไม่ยอมส่งมอบคืน อันเป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้เสียหาย ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องรับผิดในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการซ่อนเร้น หรือเอาไปเสีย ซึ่งเอกสารของผู้อื่น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 จำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ผู้เสียหายและจำเลยเคยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ระหว่างนั้นผู้เสียหายซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 7189 ต่อมาผู้เสียหายมอบอำนาจให้จำเลยไปแจ้งขอทะเบียนบ้านและเลขประจำบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว โดยมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าบ้านและเป็นผู้เก็บรักษาต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านไว้ ตามสำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน จากนั้น จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้เสียหายเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นเรื่องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน 24 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งรวมถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 7189 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่วมกันซื้อระหว่างอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา ยกคำร้องและไม่รับฎีกาของจำเลย คดีดังกล่าวถึงที่สุด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยไม่คืนต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านตามฟ้องให้แก่ผู้เสียหาย ย่อมทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับบ้านซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการซ่อนเร้น หรือเอาไปเสีย ซึ่งต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าว อันเป็นการครบองค์ประกอบความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นนั้น เห็นว่า ความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 เป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม กฎหมายมิได้มุ่งถึงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในการเป็นเจ้าของกระดาษหรือวัตถุที่ทำให้ปรากฏความหมายเป็นเอกสารซึ่งบทบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับทรัพย์บัญญัติไว้เป็นการทั่วไปอยู่แล้ว คำว่า "เอาไปเสีย" ตามมาตรา 188 จึงมิได้มีความหมายเป็นอย่างเดียวกับคำว่า "เอาไป" ที่ใช้ในความผิดข้อหาลักทรัพย์ตามมาตรา 334 แต่หมายถึงการเอาไปจากที่เอกสารนั้นเคยอยู่ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนที่อาจต้องขาดเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐาน การกระทำที่จะเป็นความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น จึงต้องเป็นการเอาเอกสารของผู้อื่นไปโดยพลการ มิใช่ครอบครองเอกสารนั้นไว้โดยความยินยอมของผู้อื่น เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ผู้เสียหายมอบอำนาจให้จำเลยไปแจ้งขอทะเบียนบ้านและเลขประจำบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 7189 และได้ความจากผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าบ้านในรายการเกี่ยวกับบ้านดังกล่าว ซึ่งตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 39 บัญญัติว่า "ให้นายทะเบียนอำเภอ และนายทะเบียนท้องถิ่นมอบสำเนาทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านเก็บรักษา เมื่อมีการเพิ่ม เปลี่ยนแปลง หรือจำหน่ายรายการในทะเบียนบ้าน ให้เจ้าบ้านนำสำเนาทะเบียนบ้านไปให้นายทะเบียนบันทึกรายการให้ถูกต้องตรงกับต้นฉบับทุกครั้ง…" จำเลยในฐานะเจ้าบ้านจึงมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องเก็บรักษาต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวไว้ นอกจากนี้พฤติการณ์ที่ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าบ้านดังกล่าวข้างต้นประกอบกับที่ผู้เสียหายเบิกความตอบโจทก์ซักถามว่า ผู้เสียหายทราบว่าจำเลยได้รับต้นฉบับรายการเกี่ยวกับบ้าน (สำเนาทะเบียนบ้าน) ดังกล่าวและเก็บรักษาไว้ ส่วนจะเก็บไว้ที่ใดผู้เสียหายไม่ทราบ ย่อมส่อแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยเป็นผู้ครอบครองและเก็บรักษาต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านตามฟ้องไว้ ดังนี้ แม้ต่อมาผู้เสียหายไม่ประสงค์ให้จำเลยครอบครองเอกสารดังกล่าวไว้แทน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านตามฟ้องคืนให้แก่ผู้เสียหาย แต่จำเลยไม่ยอมส่งมอบคืน อันเป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฎีกา ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องรับผิดในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการซ่อนเร้น หรือเอาไปเสีย ซึ่งเอกสารของผู้อื่น อันจะเป็นความผิดตามฟ้อง และเมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่ครบองค์ประกอบความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นและพิพากษายกฟ้องมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.210/2567
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา