สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2169/2534

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2169/2534

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 453, 587 ประมวลรัษฎากร ม. 77, 78 บัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายประมวลรัษฎากร ประเภทการค้า 4

การซื้อขายสินค้านั้นผู้ขายไม่จำเป็นต้องทำสินค้าสำเร็จไว้ล่วงหน้าเสมอไปต้องคำนึงถึงคุณลักษณะพิเศษของสินค้าที่จะขายด้วยโจทก์ทั้งสองประกอบธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จไม่อาจผสมคอนกรีตไว้ก่อนได้ เพราะหากไม่มีผู้ใดซื้อภายใน 1 ชั่วโมง คอนกรีตผสมเสร็จที่ทำไว้จะแข็งตัวไม่อาจนำไปใช้งานได้ สินค้าชนิดนี้จำเป็นต้องขายตามคำสั่งของลูกค้าแต่ละรายไปนอกจากนี้ทั้งลูกค้าของโจทก์ที่ 1 กับโจทก์ที่ 1และโจทก์ที่ 2 กับโจทก์ที่ 1 ต่างมีเจตนาจะมุ่งให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์เพื่อตอบแทนการใช้ราคา มิได้หวังผลสำเร็จในการงานเป็นสาระสำคัญ งานที่โจทก์ทั้งสองรับทำจนสำเร็จมิได้สำคัญไปกว่าสัมภาระหรือส่วนผสมที่นำมาใช้ในการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จโจทก์ทั้งสองประกอบธุรกิจเป็นการทั่วไปเป็นปกติธุระมิใช่เป็นการครั้งคราวแม้ลูกค้าจะเป็นผู้กำหนดอัตราส่วนหรือสูตรในการผสมคอนกรีตผสมเสร็จตามที่ลูกค้าต้องการหรือมีการกำหนดรวมค่าขนส่งและกำหนดอัตราค่าจอดรถคอยการเทคอนกรีตลงไว้ด้วย ก็เป็นการกำหนดรายละเอียดไว้เป็นเงื่อนไขในการรับซื้อ เข้าลักษณะเป็นสัญญาซื้อขาย หาใช่สัญญาจ้างทำของไม่โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่ผู้ประกอบการค้าที่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร

เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามแบบแจ้งการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีการค้า เบี้ยปรับเงินเพิ่ม และภาษีรายได้บำรุงเทศบาล รวม 85,908,292.50 บาท

จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ที่ให้โจทก์เสียภาษีการค้าเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีรายได้บำรุงเทศบาล 6,754,064.29 บาท

จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามแบบแสดงการประเมินเลขที่ ต.5/0020 (ที่ถูก 1020)/3/02174-02178ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2525 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์(ภ.ส.7) เลขที่ 316 ก.ข.ค.ง.จ./2526 ลงวันที่ 28 กันยายน 2526ที่วินิจฉัยให้โจทก์ที่ 1 เสียภาษีการค้าเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีรายได้บำรุงเทศบาลรวม 85,908,292.50 บาท และให้เพิกถอนการประเมินตามแบบแสดงการประเมินเลขที่ ต.6/1021/3/02418 และ02419 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2526 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ (ภ.ส.7) เลขที่ 320 ก.ข.ลงวันที่ 15 กันยายน 2526ที่วินิจฉัยให้โจทก์ที่ 2 เสียภาษีการค้าเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีรายได้บำรุงเทศบาลรวม 6,754,164.29 บาท

จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ลูกค้าของโจทก์ที่ 1 กับโจทก์ที่ 1 ต่างมีเจตนาจะมุ่งให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์หรือคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อตอบแทนการใช้ราคาอันเข้าลักษณะสัญญาซื้อขาย คู่สัญญามิได้หวังผลสำเร็จในการงานเป็นสาระสำคัญ ประกอบกับการงานที่โจทก์ทั้งสองรับทำจนสำเร็จแก่ลูกค้านั้นหาได้มีความสำคัญไปกว่าปูนซีเมนต์ ทราย หิน และน้ำซึ่งเป็นสัมภาระหรือส่วนผสมที่นำมาใช้ในการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จไม่ และโจทก์ทั้งสองก็ได้ประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นการทั่วไปเป็นปกติธุระ มิใช่เป็นการครั้งคราว แม้ลูกค้าจะเป็นผู้กำหนดอัตราส่วนหรือสูตรในการผสมคอนกรีตผสมเสร็จตามที่ลูกค้าต้องการ หรือมีการกำหนดรวมค่าขนส่งและกำหนดอัตราค่าจอดรถคอยการเทคอนกรีตลงไว้ด้วย ก็เป็นการกำหนดรายละเอียดไว้เป็นเงื่อนไขในการรับซื้อ เข้าลักษณะสัญญาซื้อขายนั่นเอง หาใช่เป็นสัญญาจ้างทำของดังที่จำเลยต่อสู้ไม่ ทั้งการซื้อขายสินค้านั้นผู้ขายก็ไม่จำเป็นต้องทำสินค้าสำเร็จไว้ล่วงหน้าเสมอไปก็ได้ต้องคำนึงถึงคุณลักษณะพิเศษของสินค้าที่จะขายดังเช่นกรณีคอนกรีตผสมเสร็จนี้ด้วย จะให้ผู้ขายผสมไว้ก่อนไม่ได้ เพราะหากไม่มีผู้ใดซื้อภายใน 1 ชั่วโมง คอนกรีตผสมเสร็จที่ทำไว้ก็จะแข็งตัวเสียหายหมดไม่อาจนำไปใช้งานตามความประสงค์ของลูกค้าได้เลยส่วนที่โจทก์ทั้งสองจะต้องส่งมอบคอนกรีตผสมเสร็จที่มีความแข็งแรงตามที่ตกลงแก่ลูกค้านั้น ก็เป็นเงื่อนไขที่ลูกค้าอาจจะกำหนดในการรับซื้อได้เหมือนกัน ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ที่ 1 กับลูกค้าก็ดี ระหว่างโจทก์ที่ 2 กับ โจทก์ที่ 1 ก็ดี กลายเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะรับจะทำการงานสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนสำเร็จอันเป็นลักษณะของสัญญาจ้างทำของดังที่จำเลยต่อสู้และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแต่ประการใดเมื่อการกระทำของโจทก์ทั้งสองมีลักษณะ เป็นการซื้อขายสินค้าดังที่วินิจฉัยมา โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่ผู้ประกอบการค้าที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร การประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท ปูนซิเมนต์ ไทย จำกัด จำเลย - กรมสรรพากร

ชื่อองค์คณะ จรัส อุดมวรชาติ ก้าน อันนานนท์ สุนพ กีรติยุติ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE