สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2525

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2525

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1375

การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานไปทำการรังวัดปักเขตเพื่อออกน.ส. 3 และต่อมาทางการได้ออก น.ส. 3 ให้จำเลย เมื่อจำเลยยังไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาท ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์และแม้การรังวัดและออก น.ส. 3 นั้นจะเกิน 1 ปี โจทก์ก็ยังไม่หมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท

เนื้อหาฉบับเต็ม

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 เอกสารหมาย ล.1 หรือ จ.2 ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ ที่พิพาทอยู่ส่วนทางด้านทิศตะวันออก น.ส. 3 นี้ทางการออกให้จำเลยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาท และโจทก์ฟ้องเอาคืนการครอบครองเกินกว่า 1 ปีแล้วหรือไม่

ในปัญหาข้อแรก จากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายและแผนที่กลางปรากฏว่า ทางทิศตะวันออกของที่พิพาทจดคลองหรือลำรางสาธารณะเดิมที่พิพาทเป็นของนายพรัด เมื่อ พ.ศ. 2498 จำเลยแจ้งการครอบครองที่ดินว่าที่ดินของจำเลยทางทิศตะวันออกจดนาของนายพรัด โจทก์มีนายพรัด นายคล้อยและนายกล่อยเบิกความสนับสนุนว่า นายพรัดขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อ พ.ศ. 2515และได้ทำสัญญาซื้อขายกันเองโดยนายคล้อยเป็นผู้เขียน นายกล่อยและนายสมทบ เป็นพยานปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 แล้วนายพรัดยังมอบการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์และโจทก์ครอบครองที่พิพาทตลอดมาจนบัดนี้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายสีนวลเจ้าของที่ดินข้างเคียงที่พิพาทเบิกความสนับสนุนอีกว่า นายพรัดขายที่พิพาทให้โจทก์มาประมาณ 8 ปีแล้ว โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมาจนบัดนี้ ไม่เคยเห็นจำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท คำเบิกความของพยานดังกล่าวของโจทก์มีน้ำหนักดีเพราะไม่ปรากฏว่าเป็นญาติกับโจทก์หรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ที่จำเลยอ้างว่า จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้วนั้น หากเป็นความจริง เมื่อแจ้งการครอบครองที่ดิน จำเลยน่าจะแจ้งว่าที่ดินของจำเลยทางทิศตะวันออกจดคลองหรือลำรางสาธารณะ ไม่น่าจะแจ้งว่าจดนาของนายพรัด ส่วนที่จำเลยมีนายหน่อยและนายเยื้อนเบิกความเป็นพยานว่า เห็นจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมาประมาณ 10 ปีแล้วนั้น ก็เชื่อไม่ได้ เพราะจำเลยเบิกความว่าจำเลยและภริยาพร้อมกับบุตรคนเล็กย้ายไปอยู่และทำนาทำสวนที่ตำบลเกาะเต่ามา 10 ปีเศษแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ศาลฎีกาเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาท

ปัญหาข้อสอง จำเลยอ้างว่า การที่จำเลยนำพนักงานเจ้าหน้าที่ไปทำการรังวัดปักหลักเขตที่ดินเพื่อออก น.ส.3 ที่ดินแปลงดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม2517 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2523 โจทก์หมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเพียงแต่จำเลยนำเจ้าหน้าที่ไปทำการรังวัดปักเขตเพื่อออกน.ส.3 และแม้ต่อมาทางการได้ออก น.ส.3 ให้จำเลยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ก็ตาม ก็ยังไม่ถือว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์แต่อย่างใดเพราะจำเลยมิได้เข้าครอบครองที่พิพาทดังได้วินิจฉัยแล้ว โจทก์จึงยังไม่หมดสิทธิฟ้องเอาคืน ซึ่งการครอบครองที่พิพาท"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นางเขียว รอดชู จำเลย - นายรุ่ง เกื้อทอง

ชื่อองค์คณะ บรรเทอง ภู่กฤษณา ชลูตม์ สวัสดิทัต สุรัช รัตนอุดม

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE