ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นคนต่างด้าวสัญชาติเวียตนาม ถูกคุมขังเพื่อรอการส่งตัวออกไปนอกราชอาณาจักร (เนรเทศ) จำเลยหลบหนีไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 190

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นคนต่างด้าวเนื่องจากถูกถอนสัญชาติไทยจำเลยเคยได้สัญชาติไทยดดยการเกิดมาก่อนจึงไม่อาจถูกเนรเทศได้ การคุมขังไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยเป็นบุตรคนญวนซึ่งอพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2488 จำเลยเกิดที่อำเภอเมืองอุบลราชธานีเมื่อ พ.ศ. 2495 และถูกถอนสัญชาติไทยโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 เจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองเห็นว่า จำเลยถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวจึงจับตัวจำเลยส่งไปคุมขังไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอพิบูลมังสาหารเพื่อรอการส่งตัวออกไปนอกราชอาณาจักรโดยเห็นว่าจำเลยเป็นคนสัญชาติเวียตนามจำเลยได้หลบหนีไปจากที่คุงขังดังกล่าว โจทก์จึงฟ้องจำเลยคดีนี้ ปัญหาว่าจำเลยได้กระทำความผิดดังโจทก์ฟ้องหรือไม่นั้น จำต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าการที่จำเลยถูกคุมขังเพื่อรอการส่งตัวออกไปนอกราชอาณาจักร (เนรเทศ) นั้น เป็นการคุมขังไว้ดดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยเกิดที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ พ.ศ. 2495 จำเลยเกิดในราชอาณาจักรไทย จึงได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456 มาตรา 3 อนุมาตรา 3 แม้ต่อมาจะปรากฏว่าจำเลยถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่13 ธันวาคม 2515 ก็ตาม แต่การที่จะส่งจำเลยออกไปนอกราชอาณาจักร (เนรเทศ)ดังโจทก์ฟ้องนั้น จำต้องพิจารณาถึงพระราชบัญญัติการเนรเทศ พ.ศ. 2499 ซึ่งความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าววรรคแรกบัญญัติว่า "เมื่อปรากฏว่ามีความจำเป็นเพื่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งให้เนรเทศคนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักรมีกำหนดเวลาตามที่จะเห็นสมควรอนึ่ง เมื่อพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป รัฐมนตรีจะเพิกถอนคำสั่งเนรเทศเสียก็ได้" และความในวรรคสองบัญญัติว่า "ความในวรรคแรกมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ที่เคยได้สัญชาติไทยโดยการเกิด" กรณีของจำเลยแม้จะถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยเคยได้สัญชาติไทยโดยการเกิดดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ฉะนั้นจึงไม่อาจเนรเทศจำเลยได้ ตามความในวรรคสองแห่งบทกฎหมายดังกล่าวเมื่อไม่อาจเนรเทศจำเลยได้ ดังนี้ การที่เจ้าพนักงานคุมขังจำเลยไว้เพื่อการเนรเทศจึงเป็นการคุมขังไว้โดยไม่ชอบเมื่อจำเลยหลบหนีไประหว่างการคุมขังดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดดังโจทก์ฟ้อง

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th