ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินตรงบริเวณที่โจทก์เคยปลูกบ้านมีเนื้อที่ 1 ไร่แก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งห้าจดทะเบียนแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1429 แก่โจทก์ 1 ใน 6 ส่วน หากการแบ่งไม่อาจทำได้ให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างเจ้าของรวม หรือขายทอดตลาดแบ่งให้โจทก์ตามส่วน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า หลังจากนางจันทามารดาถึงแก่ความตาย ก่อนที่โจทก์จำเลยจะไปจดทะเบียนรับมรดกที่ดินรายพิพาทร่วมกัน โจทก์จำเลยได้ตกลงกันก่อนแล้วว่า ให้โจทก์และจำเลยทุกคนได้รับตามส่วนที่นางจันทามารดาชี้เขตไว้ให้ ข้อตกลงนี้มิได้มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงมีผลผูกพันโจทก์และบังคับได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินรายพิพาทเป็นมรดกของนางจันทา ย่อมตกทอดแก่โจทก์จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนละส่วนเท่า ๆ กันตามกฎหมาย ทั้งการที่โจทก์และจำเลยไปจดทะเบียนรับมรดกที่ดินรายพิพาท ณ สำนักงานเขตที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรีนั้น ทุกคนได้ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารต่อหน้าเจ้าพนักงานที่ดิน ว่ายินยอมรับมรดกร่วมกัน อันถือได้ว่าเป็นการแบ่งปันมรดกโดยสัญญา ซึ่งอยู่ในบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 ดังนั้น เมื่อโจทก์และจำเลยได้ตกลงแบ่งปันมรดกโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือว่ายินยอมรับมรดกร่วมกัน จำเลยนำสืบว่าความจริงโจทก์และจำเลยทุกคนตกลงกันรับมรดกที่ดินเป็นส่วนสัดตามที่นางจันทามารดาชี้เขตไว้หาได้ไม่ เพราะเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงข้อแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เมื่อโจทก์และจำเลยลงชื่อรับมรดกที่ดินรายพิพาทถือกรรมสิทธิ์รวมกันโดยมิได้จดทะเบียนบรรยายส่วนไว้ ก็ต้องฟังว่าโจทก์และจำเลยทุกคนซึ่งเป็นเจ้าของรวมมีส่วนเท่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357 โจทก์จึงมีส่วนกรรมสิทธิ์ในที่ดินรายพิพาทอยู่ใน 1 ใน 6 ส่วน

ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันทำนาในที่ดินรายพิพาทตามส่วนแบ่งที่แต่ละคนได้รับยกให้จากมารดาจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีส่วนกรรมสิทธิ์ในที่ดินรายพิพาทอยู่ใน 1 ใน 6 ส่วน ดังได้วินิจฉัยแล้ว การที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำนาในส่วนของโจทก์โดยเข้าแย่งทำนาเสียทั้งหมด จึงทำให้โจทก์ไม่ได้ทำนาตามสิทธิของตน เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th