ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าบ้านโจทก์ สัญญาเช่าสิ้นอายุแล้วโจทก์มีความจำเป็นจะเข้าอยู่ในบ้านนี้ จำเลยเพิกเฉยและค้างชำระค่าเช่า 11 เดือน จึงขอให้ขับไล่และให้ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาทและให้จำเลยชำระค่าเช่า 1,430 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 130 บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้พร้อมกันประชุมใหญ่พิจารณาหนังสือสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าสัญญาข้อ 7 ยังคงเป็นข้อสัญญาเช่าในการเช่ากันใหม่ต่อไปด้วย ฉะนั้น เมื่อโจทก์ต้องการบอกเลิกสัญญาเช่าโจทก์ก็ต้องปฏิบัติการบอกกล่าวตามสัญญาข้อ 7 คือ ต้องบอกกล่าวผู้เช่าล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน 30 วัน โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้ส่งทางไปรษณีย์แต่โจทก์ไม่มีใบรับของเจ้าหน้าที่มาเป็นพยานและไม่มีพยานอื่นสนับสนุน จึงเป็นแต่เพียงคำกล่าวอ้างของโจทก์คนเดียว นอกจากนั้นยังปรากฏว่าหนังสือที่โจทก์อ้างและโจทก์ว่าได้ส่งหนังสือในวันนั้น ตามฟ้องของโจทก์กล่าวว่าจำเลยค้างชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2500 เป็นข้อแสดงว่าจำเลยชำระค่าเช่าก่อนเดือนสิงหาคม 2500 ตลอดมา ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ชำระค่าเช่ากันตลอดมาเป็นเวลาหลายเดือนนั้น ย่อมเป็นพฤติการณ์ส่อแสดงว่ายังไม่มีการบอกเลิกการเช่าต่อกัน ฉะนั้น ข้อที่โจทก์อ้างว่าได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าจึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ เมื่อโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาข้อ 7 ก็ถือว่าสัญญาเช่ายังคงมีอยู่ต่อกันโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
พิพากษาแก้ ให้จำเลยชำระค่าเช่า 1,430 บาท คำขออื่นของโจทก์ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








