คำสั่งคำร้องที่ ครพ. 233/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 247
การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา และขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น แล้วให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาดังกล่าวไปยังศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 จึงเป็นอำนาจเฉพาะของศาลฎีกาเท่านั้นที่จะพิจารณาสั่งรับหรือไม่รับคำร้องและรับฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขออนุญาตฎีกาของโจทก์ว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้โจทก์ฎีกาได้และสั่งรับฎีกาของโจทก์มานั้นเป็นการไม่ชอบ
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้กู้กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมกันชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยมิได้ระบุสัดส่วนความรับผิดของผู้ค้ำประกัน คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่ตามคำขอของโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาด
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่าขอให้มีคำสั่งเพิ่มเติมแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงดังกล่าวให้ถูกต้อง โดยระบุสัดส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 3 ตามสัญญาค้ำประกันในคำพิพากษาด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน (ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น) และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 เป็นเงินไม่เกินคนละ 349,525.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยฯ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา พร้อมฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงวันที่ 26 เดือน กันยายน พุทธศักราช 2565
ศาลฎีกาแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้แก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยในคำพิพากษาภายหลังจากที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2558 ใช้บังคับ ซึ่งการฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา และขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น แล้วให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาดังกล่าวไปยังศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 จึงเป็นอำนาจเฉพาะของศาลฎีกาเท่านั้นที่จะพิจารณาสั่งรับหรือไม่รับคำร้องและรับฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขออนุญาตฎีกาของโจทก์ว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้โจทก์ฎีกาได้และสั่งรับฎีกาของโจทก์มานั้นเป็นการไม่ชอบ กรณีต้องยกคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว เมื่อคำร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกาของโจทก์ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา เห็นสมควรพิจารณาและมีคำสั่งไป และเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เพราะไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน
จึงมีคำสั่งยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องขออนุญาตฎีกาและสั่งรับฎีกา และมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา ยกคำร้อง และไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ครพ.1300/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา