สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 438, 1168, 1169

จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของโจทก์อยู่ขณะเข้าไปเป็นกรรมการของจำเลยที่ 3 ซึ่งประกอบกิจการค้าขายอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของโจทก์ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่ของกรรมการซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังเอื้อเฟื้อสอดส่องอย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวังในการบริหารจัดการงานของบริษัทโจทก์เพื่อประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้น ทั้งเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกอบการค้าแข่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1168 ที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการของโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม แต่กลับฝ่าฝืน และจัดตั้งจำเลยที่ 3 มาเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบกิจการแข่งขัน จึงเป็นการจงใจกระทำความผิดต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ด้วย และการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อให้บรรลุผลในการประกอบกิจการแข่งขันอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์

สำหรับจำเลยที่ 2 ได้ความว่าที่ประชุมมีมติแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์ แต่โจทก์ยังไม่นำความดังกล่าวไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1157 จึงไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์ซึ่งกระทำผิดต่อหน้าที่กรรมการตามที่กฎหมายบัญญัติดังเช่นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 มีความสัมพันธ์และรับรู้ถึงการก่อตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ขึ้นมาเพื่อทำการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 และเข้าเป็นกรรมการซึ่งเป็นผู้ควบคุมการดำเนินการของบริษัทจำเลยที่ 3 ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการประกอบธุรกิจของจำเลยที่ 3 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่เข้าเกี่ยวข้องดังกล่าวถือเป็นการกระทำร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันกระทำการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1และที่ 3 เป็นละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย

ความรับผิดของกรรมการกรณีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1168 นั้น บริษัทอาจใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการเป็นการเฉพาะ หรือในกรณีที่บริษัทไม่ยอมฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นอาจฟ้องคดีแทนบริษัทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1169 และการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ร่วมกระทำละเมิดต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 3 จดทะเบียนเลิกบริษัทหรือจดทะเบียนยกเลิกวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการตามคำขอของโจทก์ได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันจดทะเบียนเลิกบริษัทจำเลยที่ 3 หรือจดทะเบียนยกเลิกวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 4,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 3 จดทะเบียนยกเลิกการประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับโจทก์

จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 บริษัท ซ. นิติบุคคลสัญชาติญี่ปุ่น โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นประธานบริษัททำสัญญากิจการร่วมค้ากับบริษัท ส. นิติบุคคลสัญชาติไทย ร่วมกันจัดตั้งบริษัทโจทก์ มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับโครงเบาะรถยนต์และอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์ โดยบริษัท ซ. จะถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะและเทคโนโลยีให้โจทก์ ส่วนบริษัท ส.จะรับผิดชอบดูแลงานด้านบริหารตามสัญญากิจการร่วมค้า บริษัท ซ. ถือหุ้นร้อยละ 51 บริษัท ส. ถือหุ้นร้อยละ 48 นายประทีป ถือหุ้นร้อยละ 1 โดยบริษัท ซ. มีสิทธิแต่งตั้งกรรมการ 3 คน ประกอบด้วย จำเลยที่ 1 นายทาเคชิ และนายมาซายูกิ ส่วนบริษัท ส. มีสิทธิแต่งตั้งกรรมการ 2 คน ประกอบด้วย นายสุขุม และนายประทีป โดยนายสุขุม หรือนายทาเคชิ มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญกระทำการแทนโจทก์ได้ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 มีการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของโจทก์ แต่งตั้งกรรมการใหม่ 2 คน คือจำเลยที่ 2 และนายโซอิชิโระ เนื่องจากนายทาเคชิ และนายมาซายูกิ ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทโจทก์ แต่ยังไม่มีการนำผลการประชุมไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ วันที่ 10 ตุลาคม 2560 บริษัท ซ. โดยจำเลยที่ 1 ประธานและกรรมการผู้มีอำนาจมีหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญากิจการร่วมค้ากับบริษัท ส. ตามสัญญาร่วมลงทุน ข้อ 6 (ฉ) โดยอ้างว่า โจทก์มีผลขาดทุนสุทธิเกินกว่า 3 ปี ติดต่อกัน และคาดการณ์ได้อย่างแน่นอนว่าในระยะเวลากว่า 1 ปี ข้างหน้าโจทก์จะขาดทุนจากการประกอบธุรกิจดังเช่นที่ผ่านมา โดยให้มีผลในวันที่ 25 ตุลาคม 2560 แต่บริษัท ส. มีหนังสือโต้แย้ง ต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 บริษัท ซ. โดยนายมาโคโตะยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน วันที่ 12 ธันวาคม 2560 นายมาโคโตะยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 มีจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนายมาโคโตะเป็นผู้เริ่มก่อการและเป็นกรรมการ มีทุนจดทะเบียน 14,500,000 บาท แบ่งออกเป็น 14,500 หุ้น โดยบริษัท ซ. ถือหุ้น 14,497 หุ้น ส่วนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนายมาโคโตะถือหุ้นคนละ 1 หุ้น ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนของโครงสำหรับใส่ในเบาะนั่งรถยนต์ และชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง วันที่ 20 เมษายน 2561 จำเลยที่ 1 ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการของโจทก์โดยให้มีผลวันที่ 25 เมษายน 2561 แต่โจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ วันที่ 30 มกราคม 2562 บริษัท ซ. ฟ้องโจทก์เรียกค่าสิทธิตามสัญญากิจการร่วมค้าและค่าสินค้าที่ค้างชำระต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ตามคดีหมายเลขดำที่ ทป 14/2562 ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำพิพากษาตามเอกสารแนบท้ายคำร้องขออนุญาตฎีกาของโจทก์

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกข้อกฎหมายเรื่องโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำให้ไม่มีอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยนั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้ปัญหาเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและอำนาจฟ้องจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ก็ตาม แต่ข้อกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบซึ่งรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้อง คำให้การหรือคำคู่ความอื่น หรือจากคำรับของคู่ความ หรือจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยทั้งสามรับผิดโดยมีฐานที่ตั้งแห่งสิทธิเรียกร้องอันเกิดแต่มูลละเมิดกรณีกรรมการจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ซึ่งประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของโจทก์อันเป็นการผิดหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1168 และเป็นการกระทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 มิใช่ฟ้องเรียกให้จำเลยทั้งสามรับผิดตามสัญญากิจการร่วมค้า กรณีไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า สัญญากิจการร่วมค้าระหว่างบริษัท ซ. และบริษัท ส. เลิกกันแล้วหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัท ซ. มีหนังสือบอกเลิกสัญญากิจการร่วมค้าไปถึงบริษัท ส. โดยมีผลเป็นการบอกเลิกบริษัทโจทก์และให้มีผลเป็นการยกเลิกสัญญากิจการร่วมค้าในวันที่ 25 ตุลาคม 2560 และจำเลยที่ 1 แจ้งการลาออกต่อคณะกรรมการของโจทก์แล้ว ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงนอกประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การโดยตรง แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากการที่โจทก์ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมโดยพฤตินัยของบริษัท ส. อาศัยเหตุดังกล่าวมาฟ้องร้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกข้อกฎหมายเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยแล้วให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัยนั้น เมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานจนสิ้นกระแสความแล้ว และโจทก์ฎีกาโดยขอถือเอาอุทธรณ์ของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกานี้ เพื่อมิให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 พร้อมกับฎีกานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวน

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์และอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันประกอบกิจการค้าขายอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของโจทก์อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ในส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ขณะจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ยังคงมีฐานะเป็นกรรมการของโจทก์ แล้วจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 3 มาประกอบการค้าแข่งขันกับโจทก์ เป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 อุทธรณ์โต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการของโจทก์โดยให้มีผลวันที่ 25 เมษายน 2561 แต่โจทก์ไม่จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ ขณะที่จำเลยที่ 3 เริ่มประกอบกิจการจริงในเดือนพฤษภาคม 2561 จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นกรรมการของโจทก์แล้ว ทั้งจำเลยที่ 3 ผลิตสินค้าคนละประเภทไม่ได้ประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้กระทำละเมิดโดยเป็นกรรมการประกอบกิจการค้าขายอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น โจทก์อุทธรณ์และฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ขึ้นมาเพื่อประกอบกิจการค้าขายอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของโจทก์ โดยจำเลยที่ 3 ได้รับประโยชน์จากการกระทำละเมิดโดยตรง ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำละเมิดและต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 3 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 3 เริ่มประกอบกิจการในวันดังกล่าว แม้จำเลยทั้งสามจะนำสืบว่า จำเลยที่ 3 เริ่มประกอบกิจการจริงในเดือนพฤษภาคม 2561 และยังไม่มีรายได้ในช่วงแรกของปี 2561 เพิ่งมีรายได้วันที่ 25 กรกฎาคม 2561 ก็ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 3 ประกอบกิจการในเดือนพฤษภาคม 2561 ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทโจทก์แล้วเพราะในช่วงเวลาที่จำเลยที่ 3 ยังไม่ได้ประกอบกิจการจริงหรือยังไม่มีรายได้อาจอยู่ในช่วงเตรียมการผลิตและติดต่อกับลูกค้า ซึ่งต้องใช้เวลาเตรียมงานระยะหนึ่ง อีกทั้งการที่จำเลยที่ 3 มีรายได้หรือไม่ก็ไม่ใช่ข้อบ่งชี้เด็ดขาดว่าจำเลยที่ 3 ยังไม่ได้ประกอบกิจการค้าขายจริง จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปเป็นกรรมการของจำเลยที่ 3 ซึ่งเริ่มประกอบกิจการแล้วในขณะที่จำเลยที่ 1 ยังเป็นกรรมการของโจทก์ ส่วนที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่า สินค้าที่จำเลยที่ 3 ผลิตมีความแตกต่างจากสินค้าของโจทก์ กล่าวคือ จำเลยที่ 3 ผลิตอุปกรณ์ลวดใช้สำหรับรถตู้ ส่วนโจทก์ผลิตและเชื่อมผลิตภัณฑ์ที่ทำจากท่อ จำเลยที่ 3 ผลิตลวดและชุบสีเอง แต่โจทก์ไม่สามารถทำได้โดยโจทก์จะสั่งลวดมาแล้วจัดส่งให้บริษัทภายนอกชุบสีให้นั้น ก็เป็นเพียงเทคโนโลยีเกี่ยวกับกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันเท่านั้น ทั้งจำเลยที่ 1 ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์รับว่า วัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 3 ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของโจทก์ จำเลยที่ 3 ผลิตชิ้นส่วนโครงเบาะรถยนต์และขายให้แก่บริษัท ท. เช่นเดียวกับที่บริษัท ท. ซื้อสินค้าดังกล่าวจากโจทก์ จึงต้องฟังว่า จำเลยที่ 3 ประกอบกิจการค้าขายอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับการประกอบธุรกิจของโจทก์ เมื่อภายหลังตั้งจำเลยที่ 3 แล้ว บริษัท ท. ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทโจทก์ลดการสั่งผลิตและต่อมายกเลิกการว่าจ้างโจทก์ผลิตชิ้นส่วนโครงเบาะรถยนต์โดยทำการว่าจ้างบริษัทจำเลยที่ 3 แทน การประกอบการของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของโจทก์ในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนโครงเบาะรถยนต์อันเป็นตลาดที่มีจำนวนผู้ประกอบการและผู้ซื้อในวงจำกัด ซึ่งการแย่งชิงลูกค้าของผู้ประกอบการรายหนึ่งไปยังผู้ประกอบการอีกรายหนึ่งจะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการซึ่งลูกค้ายกเลิกการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อให้บรรลุผลในการประกอบกิจการแข่งขันอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของโจทก์อยู่ขณะเข้าไปเป็นกรรมการของจำเลยที่ 3 ซึ่งประกอบกิจการค้าขายอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของโจทก์ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่ของกรรมการซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังเอื้อเฟื้อสอดส่องอย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวังในการบริหารจัดการงานของบริษัทโจทก์เพื่อประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้น ทั้งเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกอบการค้าแข่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1168 ที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการของโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม แต่กลับฝ่าฝืน และจัดตั้งจำเลยที่ 3 มาเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบกิจการแข่งขัน จึงเป็นการจงใจกระทำความผิดต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ด้วยแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

ในส่วนจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์อุทธรณ์และฎีกาว่า ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของโจทก์มีมติแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์ การไม่ได้จดทะเบียนเพิ่มชื่อจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์มีผลเพียงทำให้ไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกเท่านั้น จำเลยที่ 2 จึงมีสถานะเป็นกรรมการของโจทก์และต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของคู่ความว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการของโจทก์มาก่อน แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 บริษัท ซ. มีการแต่งตั้งจำเลยที่ 2 และนายโซอิชิโระ เข้าเป็นกรรมการของโจทก์แทนกรรมการเดิมจำนวน 2 คน ที่บริษัท ซ. แต่งตั้งไว้ซึ่งขอลาออก แต่ตามรายงานการประชุมดังกล่าวกลับไม่มีลายมือชื่อของกรรมการและผู้เข้าร่วมประชุมรับรอง และจำเลยที่ 2 ก็ปฏิเสธไม่ยินยอมเข้าเป็นกรรมการของโจทก์ ทั้งไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในแบบคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการเข้าใหม่ที่โจทก์ส่งมาให้ และได้ความว่าหลังจากที่ประชุมมีมติแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์ดังกล่าว โจทก์ก็ยังไม่ได้นำความดังกล่าวไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1157 จึงไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์ ซึ่งกระทำผิดต่อหน้าที่ของกรรมการตามที่กฎหมายบัญญัติดังเช่นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า บริษัท ซ. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจำเลยที่ 3 และตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ประธานบริษัท ซ. ผู้ก่อตั้งบริษัทโจทก์ร่วมกับบริษัท ส. เป็นหนึ่งในผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ในระยะเวลาต่อเนื่องกับที่บริษัท ซ. บอกเลิกสัญญากิจการร่วมค้ากับบริษัท ส. บ่งชี้ว่าบริษัท ซ. เป็นผู้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 เพื่อแยกการประกอบธุรกิจในประเทศไทยออกจากบริษัท ส. และทำการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ในขณะที่บริษัท ซ. ยังเป็นผู้ถือหุ้นของโจทก์อยู่ และในการจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ก็มีการให้จำเลยที่ 2 เข้าร่วมเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 3 ด้วยโดยจำเลยที่ 2 ได้มาเบิกความยอมรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของบริษัท ซ. มาตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2533 จนถึงปัจจุบัน และได้ไปร่วมประชุมผู้ถือหุ้นของโจทก์ในวันที่ 27 มีนาคม 2560 ด้วย เนื่องจากได้รับแจ้งให้ไปร่วมประชุม ซึ่งเชื่อว่าบริษัท ซ. และจำเลยที่ 1 ประสงค์ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและได้รับความไว้วางใจจากบริษัท ซ. รับผิดชอบดูแลธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งบริษัท ซ. ดำเนินการในประเทศไทย ดังนั้น จึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีความสัมพันธ์และรับรู้ถึงการก่อตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ของบริษัท ซ. ขึ้นมาเพื่อทำการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ เมื่อการเข้ารับเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 3 หรือไม่ ย่อมต้องเป็นไปตามความสมัครใจและความยินยอมของบุคคลนั้น พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 เข้ารับเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 3 เพื่อรับผิดชอบดูแลธุรกิจของบริษัท ซ. ในประเทศไทยจึงเป็นการตั้งใจและเป็นเจตนาของจำเลยที่ 2 ด้วย ดังที่วินิจฉัยแล้วว่าบริษัทจำเลยที่ 3 มีการจัดตั้งและประกอบกิจการเพื่อเป็นการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 และเข้าเป็นกรรมการซึ่งเป็นผู้ควบคุมการดำเนินการของบริษัทจำเลยที่ 3 ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการประกอบธุรกิจของจำเลยที่ 3 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่เข้าเกี่ยวข้องดังกล่าว ถือเป็นการกระทำร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันกระทำการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อุบายชักจูงพนักงานของโจทก์ไปเป็นพนักงานของจำเลยที่ 3 อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ในข้อนี้จำเลยทั้งสามนำสืบโดยมีบันทึกยืนยันข้อเท็จจริงของนายศิวะพิชญ์ นายจักพงษ์ และนางสาวสุพรรษา ให้ถ้อยคำยืนยันว่า บุคคลทั้งสามดังกล่าวเข้ามาเป็นพนักงานของจำเลยที่ 3 ด้วยความสมัครใจที่ต้องการเปลี่ยนงาน ไม่ได้เกิดจากการยุยง ส่งเสริม ชักจูงของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อโจทก์เพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานให้รับฟังได้ตามที่กล่าวอ้าง จึงไม่อาจฟังว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำละเมิดโดยใช้อุบายชักจูงพนักงานไปจากโจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดในส่วนนี้ต่อโจทก์ อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายว่า โจทก์เสียหายเพียงใด เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่า หลังจากมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ในวันที่ 12 ธันวาคม 2560 บริษัท ท. ได้ลดการสั่งจ้างโจทก์ผลิตชิ้นส่วนโครงเบาะรถยนต์ และต่อมาไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ผลิตชิ้นส่วนโครงเบาะรถยนต์อีกเลย ดังนี้ เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการละเมิดต่อโจทก์แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ตามควรแก่พฤติการณ์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคหนึ่ง เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีและความร้ายแรงแห่งละเมิด ประกอบกับจำเลยที่ 1 ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการของโจทก์ก่อนที่จำเลยที่ 3 จะดำเนินการประกอบกิจการจริงและมีรายได้แล้ว เห็นควรกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวนเดียวเป็นเงิน 1,000,000 บาท และเนื่องจากได้มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดดังกล่าวได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 3 จดทะเบียนเลิกบริษัทจำเลยที่ 3 หรือจดทะเบียนยกเลิกวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์นั้น เห็นว่า ความรับผิดของกรรมการกรณีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1168 นั้น บริษัทอาจใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการเป็นการเฉพาะ หรือในกรณีที่บริษัทไม่ยอมฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นอาจฟ้องคดีแทนบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 และการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ร่วมทำละเมิด ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 3 จดทะเบียนเลิกบริษัทหรือจดทะเบียนยกเลิกวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการตามคำขอของโจทก์ได้ จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ที่ขอเรียกค่าเสียหายมานั้นฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม 60,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พณ.41/2565

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE