ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ได้ออกสัมปทานปิโตรเลียมให้แก่บริษัทโอเชี่ยนนิคเอ็กซพลอเรชั่นฯ และบริษัทสุวรรณมาศ จำกัดต่อมาบริษัทสุวรรณมาศ ได้ขอโอนสิทธิ ประโยชน์และพันธะ ทั้งหมดของตนตามสัมปทานดังกล่าวให้แก่จำเลย โจทก์ที่ 1 อนุญาตให้จำเลยเข้าร่วมประกอบกิจการตามสัมปทานปิโตรเลียมดังกล่าวกับบริษัทโอเชี่ยนนิคเอ็กซพลอเรชั่นฯ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2518 แล้วตามข้อกำหนดของสัมปทานข้อ 6 บริษัทโอเชี่ยนนิคฯ และจำเลยผู้รับสัมปทานมีหน้าที่ชำระเงินผลประโยชน์พิเศษ คือ เงินบำรุงการศึกษาให้แก่โจทก์ที่ 2 ปีละ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ชำระเงินอุดหนุนการสำรวจปิโตรเลียมบนบก ในภาคเหนือให้แก่กรมการพลังงานทหารซึ่งเป็นส่วนราชการของโจทก์ที่ 3 ปีละ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาชำระเงินอุดหนุนการสำรวจและพัฒนาแร่ให้แก่โจทก์ที่ 4 ปีละ500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ชำระเงินอุดหนุนการศึกษาและป้องกันความโสโครกให้แก่โจทก์ที่ 5 ปีละ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาตามสัมปทานข้อ 6(3), 6(4), 6(5), และ 6(7) ตามลำดับ ทั้งนี้เงินผลประโยชน์แต่ละประเภทดังกล่าว ผู้ได้รับสัมปทานจะต้องชำระภายในสามสิบวันหลังจากได้ให้และได้รับสัมปทานนี้ กับทุกปีหลังจากนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องกันอีกสองปีสำหรับเงินผลประโยชน์พิเศษงวดที่ 1และงวดที่ 2 ผู้รับสัมปทานได้ชำระให้แล้วยังคงเหลือเงินผลประโยชน์พิเศษงวดที่ 3 ซึ่งเป็นงวดสุดท้าย ซึ่งจำเลยยังมิได้ชำระโดยจำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2519แต่จำเลยได้ขอผ่อนผันและโจทก์ที่ 1 ได้อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาการชำระเงินดังกล่าวออกไปอีกจนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2520 เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระเงิน จำเลยมิได้ชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ที่ 1 ขอชำระเงินผลประโยชน์พิเศษดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย โจทก์ที่ 1 ไม่อนุญาต และได้เรียกให้จำเลยชำระรวม 2 ครั้ง แต่จำเลยมิได้ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน1,170,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือจำนวน 30,057,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2520 ถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 877,500ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเป็นเงิน 22,542,995 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งห้า และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับโอนสิทธิ ประโยชน์และพันธะ ตามสัมปทาน โดยแบ่งแยกกันกับบริษัทโอเชี่ยนนิคเอ็กซพลอเรชั่นฯเงินผลประโยชน์พิเศษตามที่โจทก์ฟ้องเป็นเงินค้างจ่ายประเภทเงินอื่น ๆ บรรดาที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา ซึ่งโจทก์ต้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องภายในอายุความ 5 ปี โจทก์ฟ้องคดีเกิน 5 ปีคดีของโจทก์ขาดอายุความ สำหรับดอกเบี้ยของเงินผลประโยชน์พิเศษเป็นอุปกรณ์ของสิทธิเรียกร้องเงินผลประโยชน์พิเศษจึงขาดอายุความแล้วโดยเฉพาะดอกเบี้ยค้างจ่ายตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2520ถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2525 เป็นสิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยค้างส่งเมื่อฟ้องเกิน 5 ปี จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 30,057,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11 มิถุนายน2520 ให้แก่โจทก์ทั้งห้าจนกว่าจำเลยจะชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับเงินผลประโยชน์พิเศษขาดอายุความหรือไม่พิเคราะห์แล้ว สัมปทานปิโตรเลียมที่โจทก์ที่ 1 ออกให้แก่จำเลยกับพวกเป็นการอนุญาตให้จำเลยกับพวกมีสิทธิที่จะทำได้แต่ผู้เดียวในกิจการสำรวจการปิโตรเลียมภายในขอบเขตที่กำหนดซึ่งจำเลยกับพวกจะต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งให้แก่โจทก์ทั้งหมด แต่การจ่ายเงินผลประโยชน์มีจำนวนมากหลายรายการเพื่อผ่อนผันแบ่งเบาภาระให้แก่จำเลยจึงได้แบ่งชำระเป็นงวด ที่มีปัญหาก็คือ เงินผลประโยชน์พิเศษงวดที่ 3 ซึ่งในสัมปทานใช้คำว่า "กับทุกปีหลังจากนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องกันอีกสองปี" จะถือว่าเป็นการจ่ายเงินอื่น ๆ บรรดาที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิมที่จำเลยยกขึ้นฎีกาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เงื่อนไขดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์พึงได้รับประโยชน์จากการที่ยอมให้สัมปทานแก่จำเลย มิใช่เป็นเงินอื่น ๆ ที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา จึงไม่เป็นสิทธิเรียกร้องที่กำหนดอายุความไว้ 5 ปีตามมาตรา 166 เดิม ดังฎีกาจำเลย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เฉพาะเป็นอย่างอื่นจึงต้องใช้อายุความทั่วไปกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับเงินผลประโยชน์พิเศษจึงไม่ขาดอายุความฟ้องร้องส่วนเรื่องดอกเบี้ยแม้ว่าสัมปทานมิได้กำหนดไว้ เมื่อโจทก์บอกกล่าวแล้วตามหนังสือเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 และ 6 จำเลยไม่ชำระเงินผลประโยชน์พิเศษให้แก่โจทก์จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะโจทก์เตือนแล้ว โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันผิดนัดให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นดอกเบี้ยค้างส่งที่มีอายุความ 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิม คดีโจทก์เกี่ยวกับดอกเบี้ยที่เกินกว่า 5 ปี จึงขาดอายุความ ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 30,057,000 บาท นับจากวันฟ้องย้อนหลังลงไป 5 ปีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th