ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

Lawyer CTA
สมัครเป็นทนายออนไลน์ ง่ายๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย
เข้าถึงผู้ใช้เว็บไซต์กว่า 4 ล้านคน
ให้คำปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ค้นหามาตรา อัปเดตฎีกา ครบ จบ ในที่เดียว
ในทุกๆ ชั่วโมงมีคำปรึกษาใหม่จากลูกความ ที่รอทนายตอบอยู่
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนด โจทก์ได้ยกให้ทางราชการเพื่อสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช แต่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2520 จำเลยบุกรุกเข้าไปไถทำนาในที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้ไปแจ้งความต่อตำรวจ ในที่สุดโจทก์จำเลยตกลงกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทต่อไปอีก 1 ปี และจำเลยยอมเสียเงินให้โจทก์ 4,000 บาท แต่จำเลยไม่ให้เงินแก่โจทก์ตามสัญญาและไม่ยอมออกจากที่พิพาท จึงขอให้ศาลพิพากษาขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ยกที่พิพาทให้แก่ทางราชการไปแล้ว ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์เพราะเข้าใจผิดในสารสำคัญด้วยคิดว่าโจทก์ยังมีสิทธิในที่พิพาทอยู่ สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ จำเลยยังมีสิทธิเช่าที่พิพาทต่อไปตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา มาตรา 5ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ มีคำสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะที่ดินรายนี้ไม่ใช่ของโจทก์เสียแล้ว

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินยังเป็นของโจทก์เพราะการให้ที่ดินแก่มูลนิธิไม่ใช่ให้แก่ทางราชการและยังมิได้จดทะเบียน พิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่

ในชั้นพิจารณาตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยานโดยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่โต้เถียงกันว่า สำเนาบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีนี้ที่ตำรวจทำไว้นั้น เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือว่าเป็นสัญญาเช่า จำเลยจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาหรือไม่

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เป็นสัญญาประนีประนอมและต้องบังคับตามเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณี พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทและให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ในเงิน 4,000บาท ตามสัญญา 1 ปี หลังจากนั้นเป็นค่าเสียหายไม่ต้องเสียดอกเบี้ย

จำเลยฎีกาข้อกฎหมายประเด็นเดียวว่า จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 5

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็เพราะโจทก์จำเลยตกลงกันตามที่ตำรวจบันทึกว่า โจทก์ยอมให้จำเลยทำประโยชน์ในที่แปลงนี้มีกำหนด 1 ปี โดยจำเลยต้องจ่ายเงินค่าเช่า4,000 บาท ให้โจทก์จำเลยจึงมีความผูกพันต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้นั้น จำเลยจะอ้างพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 5 มาอ้างเพื่อขยายเวลาเช่าออกไปเป็น6 ปีหาได้ไม่

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th