สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2545

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2545

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ม. 67, 119

โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัท อ. นายจ้าง มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสแต่ทำการตั้งบริษัทซึ่งมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับนายจ้างและมีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของนายจ้าง ซึ่งบริษัทโจทก์ดังกล่าวย่อมจะต้องดำเนินกิจการให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มเดียวกับลูกค้าของนายจ้าง ลูกค้าอาจจะเลือกใช้บริการการให้คำปรึกษาของบริษัทโจทก์ได้ย่อมเป็นการกระทบถึงรายได้ของนายจ้างและทำให้นายจ้างเสียหาย แม้จะไม่ปรากฏว่าบริษัทโจทก์ได้แย่งลูกค้านายจ้างหรือมีลูกค้าไปใช้บริการของบริษัทโจทก์ก็ตาม ก็ต้องถือว่าการที่โจทก์ตั้งบริษัทในลักษณะดังกล่าวเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายแล้ว นายจ้างจึงมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 119(2)และมาตรา 67 แก่โจทก์ แม้ พ. ผู้ลงนามในหนังสือเลิกจ้างโจทก์ในฐานะผู้จัดการทั่วไปของบริษัทนายจ้าง และ จ. ผู้จัดการฝ่ายขายและบริการธุรกิจของบริษัทนายจ้างจะได้ร่วมกันตั้งบริษัทอื่นซึ่งมีกิจการอันมีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของนายจ้างเช่นเดียวกับโจทก์ก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่นายจ้างจะไปว่ากล่าวเอาโทษแก่บุคคลทั้งสองเอง หามีผลทำให้การกระทำของโจทก์ไม่เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายไม่ ฉะนั้น การที่จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้บริษัท อ. เลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์นั้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทแอลวีเอ็ม (เอเชีย) จำกัดตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2539 ตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโส ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาระบบคุณภาพไอเอสโอ 9000 ( ISO 9000 ) ได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ80,300 บาท คือเงินเดือน 79,800 บาท และค่าโทรศัพท์มือถือเดือนละ500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 28 ของเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 4พฤษภาคม 2543 บริษัทแอลวีเอ็ม (เอเชีย) จำกัด ได้เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินต่าง ๆ ที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายแรงงาน ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ดินแดงว่านายจ้างเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่โจทก์ ซึ่งจำเลยได้มีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 7/2543ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินต่าง ๆ ตามคำร้องจากนายจ้างโดยพิจารณาว่าการกระทำของโจทก์เป็นการทำธุรกิจแข่งขันกับนายจ้างถือเป็นปฏิปักษ์ต่อนายจ้างโดยตรง และทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายจากการประมูลงานโครงการ โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน เพราะนายจ้างไม่มีข้อบังคับหรือระเบียบหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย ห้ามลูกจ้างประกอบกิจการอันมีลักษณะเป็นการแข่งขันกับนายจ้าง นายจ้างไม่สอบสวนโจทก์ก่อนตามระเบียบของนายจ้าง หากสอบสวนให้โอกาสโจทก์ชี้แจงแสดงเหตุผลโจทก์ก็สามารถถอนตัวจากบริษัทแล้วทำงานกับนายจ้างต่อไป การที่นายจ้างเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ อีกประการหนึ่งโจทก์เห็นว่ามีพนักงานบริษัทมาชักชวนโจทก์ให้ร่วมหุ้นตั้งบริษัทประกอบกิจการเช่นเดียวกับนายจ้างผู้จัดการบริษัทนายจ้างก็ทราบโจทก์จึงเข้าใจว่าการตั้งบริษัทประกอบกิจการเช่นเดียวกับนายจ้างไม่น่าจะเป็นความผิด เพราะไม่มีระเบียบข้อบังคับของบริษัทห้ามไว้โจทก์จึงเห็นว่าการที่โจทก์ตั้งบริษัทประกอบกิจการเช่นเดียวกับนายจ้างไม่ได้ทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายและเป็นปฏิปักษ์ต่อนายจ้างโจทก์ได้รับทราบคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานที่ 7/2543 เมื่อวันที่22 กรกฎาคม 2543 ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวด้วย

จำเลยให้การว่า คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเป็นคำสั่งที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุที่โจทก์จะฟ้องเพิกถอนแต่อย่างใดขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ดินแดงที่ 7/2543ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 เฉพาะส่วนที่สั่งว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า มีเหตุจะเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ดินแดงที่ 7/2543 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 ในส่วนที่สั่งว่าผู้ร้อง (โจทก์)ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีหรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทแอลวีเอ็ม (เอเชีย) จำกัด ตำแหน่งสุดท้ายเป็นที่ปรึกษาอาวุโส ต่อมาโจทก์ได้จดทะเบียนตั้งบริษัทคิวซีดีแมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับนายจ้างอันมีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของนายจ้าง ดังนั้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 นายจ้างจึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2543 อ้างว่าโจทก์จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทคิวซีดี แมเนจเม้นท์ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2541เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการเป็นที่ปรึกษา ให้คำปรึกษาด้านระบบคุณภาพเป็นการกระทำกิจการเช่นเดียวกับนายจ้าง ถือเป็นปฏิปักษ์และจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อจำเลยซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงานประจำสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ดินแดงเพื่อเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์(ที่ถูกโจทก์ขอค่าจ้างค้างจ่ายด้วย) จำเลยสอบสวนแล้วมีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 7/2543 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินประเภทต่าง ๆ ดังกล่าว จากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติแล้วดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทแอลวีเอ็ม (เอเชีย) จำกัดนายจ้าง มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของนายจ้าง ทำการตั้งบริษัทซึ่งมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับนายจ้าง และมีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของนายจ้าง ซึ่งบริษัทดังกล่าวย่อมจะต้องดำเนินกิจการให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มเดียวกันกับลูกค้าของนายจ้าง ลูกค้าอาจจะเลือกใช้บริการการให้คำปรึกษาของบริษัทที่โจทก์ก่อตั้งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมจะต้องกระทบถึงรายได้ของนายจ้าง และทำให้นายจ้างเสียหาย แม้จะไม่ปรากฏว่าบริษัทที่โจทก์ก่อตั้งได้แย่งลูกค้าของนายจ้างหรือมีลูกค้าไปใช้บริการของบริษัทที่โจทก์ตั้งแล้วก็ตามก็ต้องถือว่าการที่โจทก์ตั้งบริษัทในลักษณะดังกล่าวเป็นการที่โจทก์จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายแล้ว นายจ้างจึงมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (2) และมาตรา 67 แก่โจทก์ แม้นายพิสิษฐ์ เทอดเกียรติ ผู้ลงนามในหนังสือเลิกจ้างโจทก์ในฐานะเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทนายจ้างและนางสาวจรินทร์ ทองรัตนรักษา ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายและบริการธุรกิจของบริษัทนายจ้างจะได้ร่วมกันตั้งบริษัทอื่นซึ่งมีกิจการอันมีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของนายจ้างเช่นเดียวกับโจทก์ก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่นายจ้างจะไปว่ากล่าวเอาโทษแก่บุคคลทั้งสองเองหามีผลทำให้การกระทำของโจทก์ไม่เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยไม่ คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายที่กล่าวมา กรณีไม่มีเหตุจะเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวข้างต้น อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นายอนุชิต บุญศิริ จำเลย - นางสาวกิติมา ติรเศรษฐเสมา

ชื่อองค์คณะ วิธวิทย์ หิรัญรุจิพงศ์ กมล เพียรพิทักษ์ หัสดี ไกรทองสุก

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE