ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 818 ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ 114 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2510 ได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ 20 ไร่ ในราคา 150,000 บาท โดยวัดจากทิศใต้ไปทางเหนือ 2 เส้น สูงประมาณ 12 เส้น ในวันทำสัญญาจำเลยได้รับเงินมัดจำไว้ 10,000 บาท และต่อมาจำเลยได้รับเงินค่าที่ดินไปจากโจทก์อีก3 ครั้ง คือวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2511 จำนวน 4,700 บาท วันที่ 6 มีนาคม 2511 จำนวน 5,000 บาท วันที่ 20 พฤษภาคม 2511 จำนวน 10,650 บาท รวมได้รับเงินไปทั้งสิ้น 30,350 บาท ตามสัญญามีข้อตกลงกันว่า จะชำระเงินงวดสุดท้ายในวันที่ 15 มิถุนายน 2511 การที่ตกลงกันจะชำระเงินงวดสุดท้ายในวันดังกล่าว ก็เพราะจำเลยว่าจะจัดการแบ่งแยกที่ดินส่วนที่จะขายให้โจทก์ทันกำหนดและจำเลยได้ไปรังวัดขอแบ่งแยกไว้แล้ว แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับโฉนดที่แบ่งแยก โจทก์ได้ไปติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการได้ความว่า จำเลยไม่ได้ไปติดต่อกับพนักงานรังวัดอีกเลย โจทก์ได้ให้ทนายความของโจทก์แจ้งให้จำเลยรีบจัดการโดยโจทก์พร้อมที่จะชำระราคาที่เหลือทั้งสิ้นเมื่อได้รับโฉนดแบ่งแยก จำเลยทราบแล้วก็มิได้ดำเนินการในเรื่องรังวัดแบ่งแยกแต่อย่างใด จำเลยกลับนัดหมายโจทก์ว่า จะขอไถ่จำนองตามโฉนดนั้นจากโจทก์ เพราะจำเลยได้ขอร้องให้โจทก์เป็นผู้รับจำนองที่ดินเพื่อไปไถ่จำนองจากผู้รับจำนองเจ้าอื่น เพื่อนำโฉนดมายื่นขอรังวัดแบ่งแยกที่สำนักงานที่ดิน

วันที่ 15 สิงหาคม 2512 โจทก์จำเลยได้ไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการเพื่อไถ่จำนอง แต่โจทก์ได้ทราบว่า เมื่อจำเลยไถ่จำนองจากโจทก์แล้ว จะขายให้บุคคลอื่นทั้งแปลงรวมทั้งที่ทำสัญญาขายให้โจทก์ไว้โจทก์จึงแจ้งกับจำเลยว่า เมื่อการรังวัดแบ่งแยกเพื่อขายให้โจทก์ยังไม่เสร็จ หากจำเลยประสงค์จะขายที่ดินที่เหลือก็ให้จำเลยจดทะเบียนให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมตามส่วนที่จะขายให้โจทก์ โจทก์จะชำระราคาที่ดินที่เหลือ 115,650 บาท (น่าจะเป็น 119,650 บาท) ให้จำเลยทันที จำเลยกลับบอกว่าโจทก์ผิดสัญญาแล้วไม่ขายให้ การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อโกงโจทก์ โดยจะเอาไปขายให้คนอื่นเพราะราคาที่ดินสูงขึ้น ขอศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยไปจัดการทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้เสร็จ แล้วจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 20 ไร่ ตามโฉนดใหม่ให้โจทก์ หรือหากการรังวัดล่าช้าก็ให้จำเลยจดทะเบียนให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดตามส่วน 20 ไร่

จำเลยให้การว่า หนังสือสัญญาฉบับท้ายฟ้อง เป็นหนังสือสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะ แม้จะฟังว่าเป็นสัญญาจะซื้อขาย ก็มิได้มีข้อความบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกและจำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ด้วยวาจาว่า จะไปจัดการแบ่งแยกที่ดินให้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและทั้งในสัญญานั้น คู่กรณีตกลงชำระเงินกันเป็น 3 งวด โดยเฉพาะงวดสุดท้ายจำนวน 140,000 บาท กำหนดชำระภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2511 แต่โจทก์ชำระเงินให้จำเลยต่อมา 3 คราว คือในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2511 วันที่ 6 มีนาคม 2511 และวันที่ 20 พฤษภาคม 2511รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 30,350 บาท ดังนี้ ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาเพราะไม่ชำระเงินงวดสุดท้ายภายในกำหนด จำเลยจึงมีสิทธิริบมัดจำได้ฟ้อง โจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากบรรยายฟ้องผิดจากข้อตกลงในหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน โจทก์มิได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้ชัดแจ้ง และก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทราบ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทเฉพาะเนื้อที่ 20 ไร่ตามสัญญาให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ไปโอนหรือโอนให้ไม่ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ให้ถือคำพิพากษาแทนเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 7,500 บาทแทนโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 3,750 บาท

จำเลยฎีกาว่า

  1. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

  2. สัญญาพิพาทเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อไม่ได้จดทะเบียน จึงตกเป็นโมฆะ

  3. ตามสัญญาซื้อขายมิได้ระบุว่า ผู้ขายจะต้องไปแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนที่จะขายและโอนให้โจทก์ โจทก์จะนำสืบพยานบุคคลไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

  4. โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยขอแถลงการณ์ด้วยวาจา เห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดี ให้งด ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 818 ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ 114 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2510 ได้ตกลงขายให้โจทก์ 20 ไร่ จากทางด้านทิศใต้ไปทิศเหนือ ในราคา 150,000 บาท ทำหนังสือสัญญากันไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 และ ล.4 โดยยึดถือไว้คนละฉบับ โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยในวันทำสัญญา 10,000 บาท งวดที่สองจะจ่ายให้ 20,000 บาท ในวันที่ 13 ธันวาคม 2511 งวดสุดท้ายภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2511 การชำระเงินงวดที่สองกับงวดสุดท้ายดังกล่าวนี้ในสัญญาเขียนสับกันไป คือเขียนชำระเงินงวดสุดท้ายก่อนงวดที่สองเนื่องจากผู้เขียนสัญญามีความรู้เพียงจบชั้นประถมปีที่ 2 ความจริงการชำระเงินงวดที่สองได้ตกลงกันว่าจำเลยต้องการเงินเมื่อใดก็ให้มาเอา และจำเลยก็ได้มาเอาไปรวม 3 ครั้ง เป็นเงิน 20,350 บาท ดังที่บันทึกไว้หลังสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าว

หลังจากทำสัญญากันแล้ว ในวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยได้ยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดินในนามเดิมออกอีก 1 แปลง ให้ได้เนื้อที่ 20 ไร่ ทางด้านทิศใต้ปรากฏตามสำเนาคำขอหมาย จ.8 (สำเนาคำขอลงวันที่ 1 ธันวาคม 2512 นายเวียง คชวงศ์ เจ้าพนักงานที่ดินผู้ช่วยโทเบิกความว่า เจ้าหน้าที่คัดสำเนาผิดความจริงเป็น พ.ศ. 2510) เพื่อโอนให้โจทก์ แต่รังวัดไม่สำเร็จ เพราะเจ้าของที่ดินคัดค้านเรื่องแนวเขต ต่อมาอีกหลายเดือนจึงรังวัดได้เรียบร้อยโจทก์จึงขอให้จำเลยไปจัดการแบ่งแยกโฉนดให้เรียบร้อยหลายครั้ง จำเลยก็ไม่จัดการ ซึ่งถ้าจำเลยมาตามนัดก็จะแบ่งแยกโฉนดได้และโจทก์ก็เตรียมเงินค่าที่ดินที่เหลือทั้งหมดไว้ให้แล้ว

จำเลยนำสืบว่า ตามสัญญาโจทก์จะต้องชำระเงินงวดที่สองจำนวน 20,000 บาท ภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2510 แต่โจทก์ชำระไม่ตรงตามสัญญา คือแบ่งชำระเป็น 3 คราว เฉพาะคราวที่ 3 ชำระเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2511 ส่วนงวดสุดท้ายซึ่งครบกำหนดชำระในวันที่ 15 มิถุนายน 2511 นั้น โจทก์ไม่ชำระให้จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยไม่เคยพูดตกลงกับโจทก์ว่า โจทก์จะชำระเงินงวดสุดท้ายเมื่อโอนโฉนดทั้งไม่เคยพูดเรื่องโอนโฉนดกันเลย

พิจารณาแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็คือ จำเลยไม่จัดการแบ่งแยกที่ดินที่จะขายโอนให้โจทก์ภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ กับมีคำขอบังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ส่วนการที่โจทก์บรรยายถึงข้อตกลงเกินเลยแตกต่างกับที่ปรากฏในสัญญาไปบ้าง ก็เป็นเรื่องชั้นวินิจฉัยคดีว่าจะเชื่อฟังข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวได้เพียงไรหรือไม่ ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ส่วนประเด็นที่ว่า สัญญารายพิพาทเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดหรือสัญญาจะซื้อขายและการนำสืบพยานบุคคลของโจทก์จะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 หรือไม่ จะได้วินิจฉัยรวมกันไป แม้หนังสือสัญญาขายที่พิพาทจะใช้คำว่าสัญญาซื้อขาย แต่ตามพฤติการณ์ที่ฝ่ายผู้ขายคือจำเลยยังครอบครองที่ที่ซื้อขายกันนั้นอยู่ และตกลงกันให้ชำระค่าที่ดินที่ค้างในภายหลัง ทั้งต้องมีการปฏิบัติตามสัญญาต่อไปอีก กล่าวคือจำเลยจะต้องไปขอแบ่งแยกที่ดินที่จะขายให้โจทก์ เพราะที่ดินตามโฉนดมีเนื้อที่ทั้งหมด 114 ไร่เศษ แต่โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายกันเพียง 20 ไร่ ซึ่งหลังจากทำสัญญาแล้วในวันเดียวกันนั้น จำเลยก็ได้ยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดินเนื้อที่ 20 ไร่ ทางด้านใต้ ณ สำนักงานที่ดิน และเป็นที่เข้าใจกันว่า เมื่อแบ่งแยกแล้วและโจทก์ชำระค่าที่ดินที่ค้างให้แล้ว จำเลยก็จะต้องทำการโอนให้โจทก์ พยานจำเลยก็เบิกความรับว่า เมื่อโจทก์ชำระเงินงวดสุดท้ายให้แล้ว จำเลยก็จะโอนโฉนดส่วนนั้นให้ การนำสืบถึงข้อเท็จจริงที่เข้าใจกันอยู่แล้ว แม้มิได้ระบุความข้อนี้ไว้ในสัญญา ก็ไม่เรียกนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความที่ปรากฏในสัญญา สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาจะซื้อขาย แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลใช้บังคับได้

คงมีปัญหาต่อไปว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ข้อนี้โจทก์จำเลยนำสืบโต้เถียงกัน โดยโจทก์ว่าจำเลยไม่แบ่งแยกโฉนดเพื่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ฝ่ายจำเลยอ้างว่า โจทก์ไม่มีเงินค่าที่ดินงวดสุดท้ายชำระให้จำเลยตามสัญญา ตามสัญญาซึ่งทำโดยผู้มีความรู้เพียงจบชั้นประถมปีที่ 2 เขียนกำหนดวันชำระเงินงวดที่สองกับงวดสุดท้ายสับสนกัน คือ กำหนดชำระเงินงวดที่สองภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2511 ภายหลังชำระเงินงวดสุดท้ายซึ่งกำหนดให้ชำระภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2511 อันเป็นไปไม่ได้ จึงต้องพิจารณาถึงทางปฏิบัติระหว่างคู่กรณี

สำหรับเงินงวดที่สองนี้ โจทก์นำสืบว่า ตกลงกันด้วยวาจาว่า เมื่อจำเลยต้องการเมื่อไรก็ให้มาเอา ส่วนงวดสุดท้ายตกลงกันว่า ชำระเมื่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ตามบันทึกการรับเงินงวดที่สองปรากฏว่า จำเลยรับไปจากโจทก์รวม 3 คราว คือ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2511 จำนวน 4,700 บาท วันที่ 6 มีนาคม 2511 จำนวน 5,000 บาท วันที่ 20 พฤษภาคม 2511 จำนวน 10,650 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,350 บาท คงค้างชำระอยู่ 119,650 บาท ซึ่งจำเลยอ้างว่า โจทก์ไม่มีชำระให้ แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน (หมาย จ.3) ว่า จำเลยได้จำนองที่ดินรายพิพาทไว้กับโจทก์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2511 เป็นประกันเงินกู้จำนวน 175,000 บาท หลังครบกำหนดชำระเงินงวดสุดท้ายตามสัญญาเพียงเดือนเศษ จึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะไม่มีเงินชำระค่าที่ดินงวดสุดท้ายจำนวน 119,650 บาท ให้จำเลยข้อเท็จจริงสมไปในทางที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยบิดพลิ้วไม่ไปติดต่อกับเจ้าพนักงานเพื่อขอแบ่งแยกโฉนดโอนให้โจทก์ นายพิษณุ มหาสุวรรณ ช่างแผนที่ประจำสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งไม่ปรากฎว่ามีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด และเป็นผู้ไปรังวัดที่พิพาทตามคำขอของจำเลยก็เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า โจทก์เคยมาถามพยานที่สำนักงานที่ดินถึงเหตุขัดข้องที่แบ่งแยกโฉนดไม่เสร็จพยานบอกว่าผู้ขอรังวัด(คือจำเลย) ยังไม่มาติดต่อ และได้แนะนำโจทก์ว่า ให้ไปตามผู้ขอมาพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยโอนที่ให้โจทก์ตามสัญญา โดยไม่บังคับให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างให้จำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาแก้ให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นเรื่องการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินจำนวน 119,650 บาทให้จำเลยด้วย นอกนั้นให้คงไว้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แก่โจทก์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th