กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรวม 11 แปลงคืนให้แก่โจทก์ โดยโจทก์อ้างว่านิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ และโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดที่ดินพิพาทในวันเดียวกับที่ยื่นคำฟ้องอ้างว่าจำเลยพยายามจะโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลภายนอกหากโจทก์ชนะคดีในที่สุดจะยุ่งยากในการติดตามเอาคืนมาจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และต่อมาศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีโดยพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา

ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่กรรม นายมาโนชภาคยวงศ์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งว่า โจทก์เพิ่งอุทธรณ์คำสั่งภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ต่อไป พิพากษาให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "โจทก์ฎีกาว่าแม้ศาลอุทธรณ์จะได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์แล้วก็ตาม แต่คดียังไม่ถึงที่สุดจำเลยอาจทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์หรือก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินพิพาท อันอาจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอได้โปรดกลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์โดยให้อายัดที่ดินพิพาทตามคำร้องของโจทก์นั้น เห็นว่า หากโจทก์ประสงค์ที่จะขอให้อายัดที่ดินพิพาทไว้ชั่วคราวระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ก็ชอบที่จะยื่นคำร้องขอโดยเฉพาะต่อศาลชั้นต้นหรือศาลฎีกาต่างหาก การที่โจทก์ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่สั่งให้อายัดที่ดินพิพาทตามคำร้องขอให้อายัดที่ดินพิพาทไว้ชั่วคราวที่โจทก์ได้ยื่นไว้ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีนั้นแล้วโดยให้ยกฟ้องโจทก์ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยปัญหาที่โจทก์ฎีกาต่อไป"

ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ