ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมกล่าวคือ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2532 เวลาใดไม่ปรากฎชัดจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ ซึ่งโจทก์ลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้องไว้ โดยจำเลยที่ 2 ได้กรอกข้อความว่า"ข้าพเจ้า นายเชื่อม สมทรัพย์ ได้รับเงินจากนายมานิตย์ วรวงษ์จากการขายรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน น-1522 มหาสารคามเป็นเงิน 100,000 บาท และนายมานิตย์ได้รับรถยนต์โตโยต้าสีแดงคืนแล้ว ส่วนสัญญาที่ทำขึ้นวันที่ 11 กันยายน 2 ฉบับ คือสัญญาซื้อขายกับสัญญากู้ยืมเงินซึ่งนายเชื่อมบอกว่าหาย ถือว่ายกเลิกทั้งสองได้อ่านข้อความเข้าใจ จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน"ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริงและโจทก์มิได้ยินยอมทั้งกระทำเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และผู้อื่น ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2532เวลากลางคืน จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้และอ้างเอกสารปลอมดังกล่าวโดยให้จำเลยที่ 3 นำมาอ้างต่อโจทก์ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง นอกจากนั้นในวันที่ 29 กันยายน 2532 เวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมเอกสารลงในแผ่นกระดาษมีข้อความว่า "นายเชื่อม สมทรัพย์ได้รับเงินจำนวน 100,000 บาท จากนายมานิตย์ วรวงษ์ไว้ถูกต้องเรียบร้อยแล้ว และนายมานิตย์ได้จ่ายเงินอีก 40,000 บาทใช้หนี้เงินกู้ยืมคืนแก่นายเชื่อม สมทรัพย์ พร้อมกับได้รับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าสีแดง หมายเลขทะเบียน น-7354 ร้อยเอ็ดคืนจากนายเชื่อมแล้ว" แล้วร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์และนางสายกรม ศิริวรรณ ซึ่งข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง และกระทำเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และผู้อื่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 264, 268

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 3ถึงที่สุด

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ฟ้องซ้ำ ยกฟ้องโจทก์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 268 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสอง โดยวางโทษตามมาตรา 264 เพียงกระทงเดียวจำคุก 2 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,83 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 418/2533 และ 419/2533 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าในปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาลงวันที่27 มิถุนายน 2534 พิพากษาว่า การกระทำตามฟ้องคดีนี้ต่างกรรมต่างวาระกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยที่ 1 ที่ 2มิได้ฎีกาปัญหาดังกล่าวจึงยุติและถึงที่สุดไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาอีกไม่ได้ เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่ชอบ"

พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th