สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2540

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2540

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/14, 193/15, 193/24, 193/29, 295, 448 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 59

โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนในปี2534ก่อนที่จำเลยจะยอมรับผิดและทำหนังสือรับสภาพหนี้ในวันที่3กันยายนปีเดียวกันการที่จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวก็เป็นเพียงเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/14วรรคหนึ่งอนุมาตรา1เท่านั้นหาใช่เป็นการสละประโยชน์แห่งอายุความตามมาตรา193/24อันจะทำให้จำเลยไม่อาจยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไม่เพราะการสละประโยชน์แห่งอายุความจะกระทำได้ก็ต่อเมื่ออายุความครบกำหนดแล้วแม้การทำหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเป็นผลให้ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความแต่การรับสภาพหนี้อันเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ได้สิ้นสุดในวันทำหนังสือรับสภาพหนี้คือวันที่3กันยายน2534นั้นเองจึงต้องเริ่มนับอายุความใหม่ในวันเดียวกันตามมาตรา193/15วรรคสองเมื่อนับจากวันดังกล่าวจนถึงวันที่29มิถุนายน2537ซึ่งเป็นวันฟ้องพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามมาตรา448วรรคหนึ่งและเนื่องจากจำเลยที่2ได้ยกอายุความเรื่องนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ศาลจึงอ้างเอาอายุความดังกล่าวมาเป็นเหตุยกฟ้องได้ตามมาตรา193/29 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้แม้จำเลยที่1จะมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แต่จำเลยที่2ผู้เป็นคู่ความร่วมกันได้ให้การต่อสู้ในเรื่องนี้ไว้การดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยจำเลยที่2ถือว่าได้ทำโดยจำเลยที่1ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา59ที่ศาลพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่1จึงชอบด้วยกฎหมาย

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมในมูลละเมิดต่อโจทก์ และต่อมาวันที่ 3 กันยายน 2534 จำเลยที่ 1ได้ยอมรับผิดและทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 310,636.40 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 310,636.40 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้ในข้อหาความผิดฐานละเมิดและเรียกค่าเสียหาย โดยกล่าวชัดแจ้งในคำฟ้องว่าเหตุคดีนี้เกิดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2529 ซึ่งนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจนกระทั่งถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง

โจทก์ อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ศาลควรฟังพยานหลักฐานโจทก์เสียก่อนว่า โจทก์รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อใด แล้วจึงค่อยวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3ถือว่าเป็นการสละประโยชน์แห่งอายุความแล้ว จำเลยที่ 2จึงไม่อาจยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ และศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นมูลยกฟ้องไม่ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องและเอกสารที่จำเลยที่ 2 ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจากโจทก์มาเป็นพยานว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนในปี 2534 ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะยอมรับผิดและทำหนังสือรับสภาพหนี้ในวันที่ 3 กันยายน ปีเดียวกัน ดังนี้ กรณีจึงไม่จำต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์เสียก่อนว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อใด การที่จำเลยที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าว ก็เป็นเพียงเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา 1 เท่านั้นหาใช่เป็นการสละประโยชน์แห่งอายุความตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 193/24 อันจะทำให้จำเลยที่ 2 ไม่อาจยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างไม่ ทั้งนี้เพราะการสละประโยชน์แห่งอายุความจะกระทำได้ก็ต่อเมื่ออายุความครบกำหนดแล้วสำหรับคดีนี้แม้การทำหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยที่ 2 จะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเป็นผลให้ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ แต่การรับสภาพหนี้อันเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ได้สิ้นสุดในวันทำหนังสือรับสภาพหนี้คือวันที่ 3 กันยายน 2534 นั้นเอง จึงต้องเริ่มนับอายุความใหม่ในวันเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/15 วรรคสองเมื่อนับจากวันดังกล่าวจนถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2537 ซึ่งเป็นวันฟ้อง พ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้ยกอายุความเรื่องนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจึงอ้างเอาอายุความดังกล่าวมาเป็นเหตุยกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/29 คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2ที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความจึงชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ แม้จำเลยที่ 1จะมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ แต่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นคู่ความร่วมกันได้ให้การต่อสู้ในเรื่องนี้ไว้ การดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยจำเลยที่ 2 ถือว่าได้ทำโดยจำเลยที่ 1 ด้วยทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 ฉะนั้นที่ศาลพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - กรมสรรพากร จำเลย - นาย อุทัย แลวฤทธิ์ กับพวก

ชื่อองค์คณะ ปรีชา นาคพันธุ์ อำนวย สุขพรหม ระพินทร บรรจงศิลป

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE