ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกล่าวเท็จหลอกลวงโจทก์เอาเงินของโจทก์ไปสองครั้งเป็นเงิน 35,000 บาท ว่าจะเอาไปซื้อบ้านของผู้มีชื่อให้โจทก์ โดยจะลงชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ เพราะโจทก์เป็นสงฆ์ ไม่ควรมีชื่อเป็นเจ้าของ โจทก์หลงเชื่อจึงได้มอบเงินให้จำเลยไป เมื่อจำเลยได้รับเงินไปแล้ว จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าได้จัดการทุกอย่างตามที่โจทก์ต้องการเรียบร้อยแล้ว ต่อมาจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้ดูแลบ้านดังกล่าวของโจทก์ให้ออกไปและเรียกค่าเสียหาย อ้างว่าเป็นบ้านของจำเลยซึ่งได้รับการให้โดยเสน่หาจากผู้มีชื่อ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลความผิดทางอาญาพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า โจทก์ตกลงซื้อบ้านของนางพริ้มและมอบหมายให้จำเลยลงชื่อถือกรรมสิทธิ์แทน จำเลยก็จัดการรับโอนกรรมสิทธิ์บ้านจากนางพริ้มมาตามความประสงค์ของโจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยได้ฟ้องขับไล่ร้อยตำรวจโทเฉลิมพลผู้ดูแลบ้านดังกล่าวของโจทก์ให้ออกจากบ้านเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าเป็นบ้านของจำเลย ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อเท็จจริงดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้หลอกลวงเอาเงินของโจทก์ไป ส่วนการที่จำเลยปฏิเสธกรรมสิทธิ์ของโจทก์ในภายหลัง ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฉ้อโกงดังโจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








