ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินตามจำนวนหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดธนาคาร ก. ผู้ถือหน่วยลงทุนเลขที่ 888-478xxx-x เป็นเงิน 2,562,678.39 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 087-718xxx-x เป็นเงิน 4,902,448.20 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. บัญชีเลขที่ 206-247xxx-x เป็นเงิน 581,711.61 บาท รวมเป็นเงิน 8,046,838.02 บาท และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 1076/846 ชั้นที่ 29 ชื่ออาคารชุด อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 455 และที่ดินโฉนดเลขที่ 55474 ให้แก่โจทก์และกองมรดกของนายวุฒิพล หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 4,023,419.10 บาท และให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่งของห้องชุดเลขที่ 1076/846 ชั้นที่ 29 ชื่ออาคารชุด อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 455 และกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 55474 ให้แก่โจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับนายวุฒิพล โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส นายวุฒิพลมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน จำเลยเป็นหลานของนายวุฒิพล เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2561 นายวุฒิพลถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 29 มกราคม 2562 ศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งโจทก์และนางเบียว น้องสาวของนายวุฒิพล ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนายวุฒิพล จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่ได้รับมาจากนายวุฒิพล ได้แก่ หน่วยลงทุนบัญชีกองทุนเปิด บัวหลวงตราสารหนี้ภาครัฐ บริษัทหลักทรัพย์ จ. เลขที่ผู้ถือหน่วยลงทุน 888-478xxx-x เป็นเงิน 2,562,678.39 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 087-718xxx-x เป็นเงิน 4,902,448.20 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. บัญชีเลขที่ 206-247xxx-x เป็นเงิน 581,711.61 บาท ห้องชุดเลขที่ 1076/846 ชั้นที่ 29 ชื่ออาคารชุด อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 455 และที่ดินโฉนดเลขที่ 55474 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 โจทก์และนางเบียวเข้าร่วมประชุมเพื่อปรึกษาการจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายจากจำเลย กลุ่มที่ 3 ซึ่งอยู่ในชื่อตัวแทน 4 คน ที่ยังไม่สามารถเรียกคืนได้และอีกหนึ่งคนตกลงคืนแล้ว ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติให้ดำเนินการฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยฝ่ายทายาทไม่ประสงค์จะเข้าร่วม โดยในท้ายรายงานการประชุมดังกล่าวแนบบัญชีทรัพย์สินในกลุ่มที่ 3 ระบุชื่อจำเลยจำนวน 5 รายการ คือ อันดับที่ 14 ถึงอันดับที่ 20 และเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 15 แผ่นที่ 5 อันดับ 11, 13, 14, 20 และ 26
พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ตามที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวุฒิพล ผู้ตาย มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดิน ห้องชุด และเงินพิพาทส่วนของผู้ตายตามฟ้องคืนจากจำเลยได้หรือไม่ ข้อนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 บัญญัติว่า ถ้าผู้จัดการมรดกมีหลายคน การทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกนั้นต้องถือเอาเสียงข้างมาก เว้นแต่จะมีข้อกำหนดพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น ถ้าเสียงเท่ากัน เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอ ก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด มาตรา 1736 วรรคสอง บัญญัติว่า ในระหว่างเวลาเช่นนั้น ผู้จัดการมรดกชอบที่จะกระทำการใด ๆ ในทางจัดการมรดกตามที่จำเป็นเช่นฟ้องคดีหรือแก้ฟ้องในศาลและอื่น ๆ อนึ่งผู้จัดการมรดกต้องทำการทุกอย่างที่จำเป็น เพื่อเรียกเก็บหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกภายในเวลาอันเร็วที่สุดที่จะทำได้ และเมื่อเจ้าหนี้กองมรดกได้รับชำระหนี้แล้วผู้จัดการมรดกต้องทำการแบ่งปันมรดก เช่นนี้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ลักษณะ 4 วิธีการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดก หมวด 1 ผู้จัดการมรดก ว่าด้วยการจัดตั้งผู้จัดการมรดกคนเดียวหรือหลายคน และวิธีการจัดการมรดกกรณีผู้จัดการมรดกหลายคนซึ่งต้องตกลงกันด้วยเสียงข้างมาก เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงดำเนินการรวบรวมจำหน่ายทรัพย์มรดกเป็นตัวเงิน ทำการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้กองมรดก กับการแบ่งปันทรัพย์มรดกในหมวด 2 ว่าด้วยการรวบรวมจำหน่ายทรัพย์มรดกเป็นตัวเงิน และการชำระหนี้กับแบ่งทรัพย์มรดก ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 วรรคสอง บัญญัติว่า ในระหว่างเวลาเช่นนั้น ผู้จัดการมรดกชอบที่จะกระทำการใด ๆ ในทางจัดการมรดกตามที่จำเป็น เช่นฟ้องคดีหรือแก้ฟ้องในศาลและอื่น ๆ ดังนี้ จะเห็นได้ว่าการกระทำในทางธรรมชาติของการจัดการมรดกโดยผู้จัดการมรดกหลายคนนั้นไม่อาจกระทำได้ด้วยผู้จัดการมรดกพร้อมกันทุกคน เช่น การครอบครองทรัพย์มรดก การจัดทำบัญชีทรัพย์มรดก การขอถอนผู้จัดการมรดก และไม่จำต้องกระทำการพร้อมกันทุกคน เช่น การทำนิติกรรม การรับชำระหนี้จากลูกหนี้ การชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ การฟ้องร้องและการต่อสู้คดี เป็นต้น ทั้งตามบทกฎหมายก็มิได้บัญญัติว่าการกระทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกหลายคนนั้น ต้องร่วมกันทำหรือร่วมกันลงชื่อในนิติกรรมพร้อมกันทุกคนทุกคราวไป เพียงแต่ต้องกระทำการด้วยตนเองเว้นแต่จะกระทำการโดยตัวแทนตามอำนาจที่ให้ไว้ชัดแจ้งหรือโดยปริยายในพินัยกรรมหรือโดยคำสั่งศาล เนื่องเพราะผู้จัดการมรดกทุกคนต้องร่วมรับผิดต่อทายาทและบุคคลภายนอกดังเช่นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1720 และ 1723 ฉะนั้น การกระทำใดของผู้จัดการมรดกคนหนึ่งหรือหลายคนโดยมีผู้เห็นด้วยเป็นส่วนมากหรือได้รับความยินยอมของผู้จัดการมรดกคนอื่นแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นการจัดการมรดกร่วมกันโดยเสียงข้างมาก หาจำต้องให้ผู้จัดการมรดกเสียงส่วนข้างน้อยเข้าร่วมจัดการด้วยไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งนางเบียวซึ่งเป็นผู้ร้อง และโจทก์ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ต่อมานางเบียวยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก และฝ่ายโจทก์ยื่นคำคัดค้านและขอให้ศาลมีคำสั่งถอนนางเบียวออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกเช่นกัน ตามคดีหมายแดงที่ พ.364/2562 ของศาลแพ่ง เมื่อพิจารณาตามสำเนาคำสั่งศาลแพ่ง ในส่วนทางไต่สวนของนางเบียวซึ่งเป็นผู้ร้องนำสืบว่า โจทก์ผู้คัดค้านปฏิเสธไม่ทำหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่ทายาทของผู้ตาย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 มีการนัดประชุมผู้จัดการมรดก นางเบียวทวงถามขอให้โจทก์ทำการแบ่งปันเงินสดหรือทรัพย์มรดกอื่นซึ่งสามารถจัดการแบ่งปันมรดกให้แก่ทายาทของผู้ตาย แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดก ทั้งส่วนข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ระบุว่า นางเบียวและโจทก์มีการนัดประชุมผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 ส่วนที่วินิจฉัยมีการกล่าวถึงว่า นางเบียวอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 มีการประชุมผู้จัดการมรดกนางเบียวทวงถามให้โจทก์ทำการแบ่งปันเงินสดหรือทรัพย์มรดก แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ทำหน้าที่จัดการมรดกของผู้ตาย โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ทนายความนางเบียวแจ้งโจทก์จัดทำบัญชีทรัพย์และขอให้เรียกประชุม เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 มีการเรียกประชุม และได้กล่าวถึงว่านางเบียวได้แต่งตัวนางสาวอัมพรเป็นทนายความ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงพฤติการณ์ของนางเบียวที่แต่งตั้งนางสาวอัมพรเป็นทนายความในคดีดังกล่าว และยังให้นางสาวอัมพรแจ้งให้โจทก์จัดทำบัญชีและขอให้เรียกประชุมผู้ถือหุ้น และที่ปรากฏชื่อนายปรารถนา ในบันทึกการประชุมผู้จัดการมรดก ระบุว่าเป็นตัวแทนของนางเบียวด้วย รวมทั้งที่นางเบียวรับทราบถึงการประชุมผู้จัดการมรดกวันที่ 14 กันยายน 2562 อย่างช้าวันที่ 19 กันยายน 2562 ที่นางเบียวเรียกร้องสิทธิให้โจทก์แบ่งทรัพย์มรดกตามที่ได้มีการประชุมผู้จัดการมรดกเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 จึงฟังได้ว่า นางเบียวได้ตั้งให้นางสาวอัมพร และนายปรารถนา เป็นผู้มีอำนาจเข้าประชุมผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 แทนนางเบียว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1723 ดังนี้ เมื่อได้ความตามสำเนาการประชุมผู้จัดการมรดกว่า เป็นการประชุมเพื่อปรึกษาการจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตาย กลุ่มที่ 3 ซึ่งอยู่ในชื่อตัวแทน 4 คน ที่ยังไม่สามารถเรียกคืนได้และอีกหนึ่งคนตกลงคืนแล้ว ที่ประชุมพิจารณาและมีมติให้ดำเนินการฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยฝ่ายทายาทไม่ประสงค์จะเข้าร่วม โดยท้ายรายงานการประชุมดังกล่าวได้แนบบัญชีทรัพย์สินในกลุ่มที่ 3 ระบุชื่อจำเลยจำนวน 5 รายการ คือ อันดับที่ 14 ถึงอันดับที่ 20 ซึ่งตรงกับรายการในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 15 แผ่นที่ 5 อันดับ 11, 13, 14, 20 และ 26 ซึ่งแสดงว่านางเบียวรู้เห็นและยินยอมการที่โจทก์จะฟ้องจำเลยโดยไม่โต้แย้งคัดค้าน เยี่ยงนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่านางเบียวในฐานะผู้จัดการมรดกร่วมรู้เห็นและยินยอมให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เพื่อรวบรวบทรัพย์สินของผู้ตายเข้าสู่กองมรดกนำไปแบ่งปันให้แก่ทายาทตามกฎหมาย อันเป็นการจัดการมรดกร่วมกันโดยเสียงข้างมากตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 ข้างต้นแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกที่ดิน ห้องชุด และเงินพิพาทส่วนของผู้ตายคืนจากจำเลยได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง โจทก์ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวุฒิพล ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยรวมเป็นเงิน 13,732,838.02 บาท เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ 1 (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้คิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าสิบล้าน คิดอัตราร้อยละ 2 แต่ไม่เกินสองแสนบาท เมื่อโจทก์ชำระค่าขึ้นศาล 200,000 บาท แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มวันที่ 9 เมษายน 2564 จำนวน 74,656 บาท จึงเป็นการชำระค่าขึ้นศาลเกินมา 74,656 บาท ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินตามจำนวนหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดธนาคาร ก. ผู้ถือหน่วยลงทุนเลขที่ 888-478xxx-x เป็นเงิน 2,562,678.39 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 087-718xxx-x เป็นเงิน 4,902,448.20 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. บัญชีเลขที่ 206-247xxx-x เป็นเงิน 581,711.61 บาท รวมเป็นเงิน 8,046,838.02 บาท และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 1076/846 ชั้นที่ 29 ชื่ออาคารชุด อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 455 และที่ดินโฉนดเลขที่ 55474 ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง และให้กองมรดกของนายวุฒิพล ผู้ตายกึ่งหนึ่ง หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นส่วนที่เสียเกินมา 74,656 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นทั้งสามชั้นศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.565/2566
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








