ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

ศาลแรงงานกลางรวมพิจารณาคดีสองสำนวนนี้เข้าด้วยกันเรียกโจทก์สำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 เรียกโจทก์สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างได้เรียกเก็บเงินประกันความเสียหายคนละ 10,000 บาท ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยมิได้มีความผิดและมิได้ทำความเสียหายแก่จำเลย จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ทั้งสอง และคืนเงินประกันดังกล่าว จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้จ้างโจทก์ทั้งสอง ไม่ได้รับเงินประกันตามฟ้องไม่ได้ค้างชำระค่าจ้าง โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของบุคคลภายนอก ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินประกันความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง และให้จ่ายค่าจ้างค้างจ่ายด้วย จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์ที่ 1 กับนายสุรสิทธิ์ จันทรประสาท ผู้เริ่มก่อการและกรรมการของจำเลยทำเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2528 แต่จำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2528 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821นั้นการเชิดผู้ใดเป็นตัวแทน ผู้เชิดจะต้องเป็นบุคคล จำเลยจะเชิดนายสุรสิทธิ์ตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางย่อมเป็นไปไม่ได้ พิเคราะห์แล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยว่าการเชิดผู้ใดเป็นตัวแทน ผู้เชิดต้องเป็นบุคคลจำเลยเพิ่งเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2528 ก่อนหน้านั้นย่อมไม่มีโอกาสจะเชิดผู้ใดเป็นตัวแทนได้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ว่าสัญญาตามเอกสารหมาย จ.4จะได้ทำขึ้นก่อนที่จำเลยจะได้ทำขึ้นก่อนที่จำเลยจะได้จดทะเบียนเป็นบริษัทก็ตามแต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อตั้งบริษัทและสัญญาดังกล่าวมีนายสุรสิทธิ์ผู้เริ่มก่อการของบริษัทจำเลย ซึ่งต่อมาได้เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยเมื่อจดทะเบียนเป็นบริษัทแล้วเป็นผู้ลงชื่อในนามของบริษัทรัชดานคร จำกัด ผู้ว่าจ้างและสัญญาหมาย จ.4 ก็ทำก่อนจดทะเบียนตั้งบริษัทจำเลยเพียง 7 วันเท่านั้นหลังจากบริษัทจำเลยมีสภาพเป็นนิติบุคคลแล้ว จำเลยก็ยอมรับผลแห่งสัญญาเอกสารหมาย จ.4 จ้างโจทก์ที่ 1 จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ 1 ตลอดมาเป็นเวลาประมาณ4 เดือนครึ่งจึงได้เลิกจ้าง ดังนี้โจทก์ที่ 1 จึงเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ข้อที่สองว่า สัญญาจ้างโจทก์ที่ 2 ลงชื่อกรรมการบริษัทจำเลยเพียงผู้เดียว และตราที่ประทับในสัญญาไม่เหมือนกับตราที่จดทะเบียนไว้ สัญญาจึงไม่ผูกพันจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีของโจทก์ที่ 2 ได้ทำสัญญากันหลังจากจำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว สัญญาจ้างแรงงานนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 หาได้บัญญัติว่าจะต้องทำเป็นหนังสือประการใดไม่เพียงแต่ตกลงจ้างและตกลงให้สินจ้างกันสัญญาจ้างแรงงานย่อมเกิดขึ้นแล้ว คดีนี้นายสุรสิทธิ์ กรรมการผู้เดียวทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ 2 หลังจากนั้นโจทก์ที่ 2 ก็ทำงานให้จำเลย จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ที่ 2 ตลอดเวลามาเป็นเวลาประมาณ 4 เดือนย่อมถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยแล้ว มิพักต้องย้อนกลับไปพิจารณาอีกว่าสัญญาที่ทำเป็นหนังสือตามเอกสารหมาย จ.1 จะชอบหรือมิชอบด้วยหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.5 ประการใดหรือไม่ พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา ADMIN

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th