ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท ให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 200 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้ยกข้อที่เรียกค่าเสียหาย จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายชมกับนางยังเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายชมกับนางยัง ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2156 ซึ่งนางยังได้รับโอนมาโดยทางมรดก ต่อมานางยังไปบวชชี แล้วนายชมได้จำเลยเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งอยู่กินกันที่บ้านพิพาทเกิดบุตรด้วยกันหลายคนแต่นายชมกับจำเลยเพิ่งจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายเมื่อ ปี พ.ศ. 2518นายชมถึงแก่กรรมปี พ.ศ. 2519 โดยมิได้ทำพินัยกรรม หลังจากนายชมถึงแก่กรรม จำเลยก็ยังคงอยู่ในบ้านพิพาทตลอดมาจนบัดนี้ ในปี พ.ศ. 2521นางยังจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2156 ดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทเป็นคดีนี้ อ้างว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ มีประเด็นมาสู่ศาลฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาทหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าระหว่างนางยังบวชชี นายชมเอาอาหารไปส่ง ตามพฤติการณ์แสดงว่านายชมอนุญาตให้นางยังไปบวช นายชมกับนางยังจึงขาดจากการเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่วันที่นางยังบวชชีตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 39 บ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรส ต้องแบ่งออกเป็น 3 ส่วน เป็นของนายชม 2 ส่วน ของนางยัง 1 ส่วน นางยังไม่ได้ครอบครองส่วนของตนหากแต่นายชมกับจำเลยเป็นผู้ครอบครองมา ส่วนของนางยังจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชม นายชมจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาททั้งหมดเพียงคนเดียว และเป็นมรดกตกได้แก่จำเลยกับบุตรของจำเลยนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาไม่ได้ความแน่ชัดว่าเมื่อนางยังไปบวชชีนั้น นายชมได้อนุญาตให้ไปบวชหรือไม่ และไม่ได้ความจากการนำสืบของฝ่ายใดเลยว่า ขณะนางยังบวชชี นายชมได้เอาอาหารไปส่งจึงยังฟังไม่ได้ว่านายชมกับนางยังได้ขาดจากสามีภรรยากันแล้วตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 39 ดังที่จำเลยฎีกา นอกจากเรื่องที่นางยังไปบวชชีแล้วข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายชมกับนางยังได้หย่ากันแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่านายชมกับนางยังเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตลอดมาจนกระทั่งนายชมถึงแก่กรรม สำหรับจำเลยซึ่งให้การว่านางยังไปบวชชีเมื่อประมาณ47 ปีมานี้ แล้วต่อมาอีกประมาณ 10 ปี นายชมก็ได้จำเลยเป็นภรรยานั้นตามคำให้การของจำเลยคำนวณได้ว่านายชมได้จำเลยเป็นภรรยาประมาณปี พ.ศ. 2485 ใกล้เคียงกับที่โจทก์บรรยายฟ้องว่านายชมได้จำเลยเป็นภรรยาในปี พ.ศ. 2484 เป็นเวลาที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับ แม้จำเลยกับนายชมจะได้จดทะเบียนสมรสกัน การสมรสก็เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 และ 1445(3) เดิมเพราะขณะจดทะเบียนสมรส นายชมเป็นคู่สมรสหรือสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางยังจำเลยจึงมิใช่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชม ไม่มีสิทธิได้รับมรดกของนายชม หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีส่วนเป็นเจ้าของบ้านพิพาทแต่อย่างใดเมื่อนายชมถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่ผู้ใด บ้านพิพาทซึ่งเป็นส่วนของนายชม จึงเป็นมรดกตกให้แก่นางยังผู้เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนางยังโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งปลูกบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ แม้จะได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่าในตอนที่ยกที่ดินให้ นางยังไม่ได้พูดถึงบ้านพิพาทด้วย แต่บ้านพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดิน โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 และมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th