ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นต้นเงิน 33,916.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่เดือนพฤศจิกายน 2521 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 ปีเศษ แต่โจทก์คิดเพียง 5 ปี เป็นเงิน 25,500 บาทและค่าทนายความ 600 บาท รวมเป็นเงิน 60,016.30 บาท ซึ่งกำหนดจำนวนได้แน่นอน จำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้ ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ และสามารถชำระหนี้ได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันและเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่319/2523 แล้วไม่ชำระ โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาขายทอดตลาดชำระหนี้ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาทได้ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้ธนาคารกรุงไทย จำกัด ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอีกสามคดี ซึ่งยังไม่มีการชำระหนี้จำเลยทั้งสองย้ายที่อยู่หลายครั้งโดยไม่แจ้งให้เจ้าหนี้ทราบ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาทอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายได้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาซึ่งพิพากษาตามคำฟ้องขอให้ล้มละลาย ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ 50 บาท
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาในส่วนที่เกินมาแก่จำเลยทั้งสอง
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








