ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 5,782,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ปรากฏจากหลักฐานที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นในชั้นอุทธรณ์และในชั้นฎีกาว่า มูลกรณีเรื่องเดียวกันนี้พนักงานอัยการกรมอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2521 กล่าวหาว่า เมื่อระหว่างวันที่ 18 มีนาคม 2517 ตลอดมาถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2517 ทั้งกลางวันและกลางคืน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้บังอาจร่วมกันใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังข้าวสารขององค์การคลังสินค้าผู้เสียหายซึ่งเก็บรักษาอยู่ในคลังสินค้า 1 ธนบุรี จำนวน18,096 กระสอบ คิดเป็นเงิน 4,054,800 บาท เป็นของจำเลยหรือผู้อื่นโดยทุจริตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 8 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 83 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 4,054,800 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลอาญาพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกันเบียดบังยักยอกข้าวสารจำนวน 18,096 กระสอบของผู้เสียหายไป พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดโดยโจทก์จำเลยมิได้อุทธรณ์รายละเอียดปรากฏตามสำเนาคำฟ้อง สำเนาคำพิพากษาซึ่งจ่าศาลรับรองถูกต้อง และใบสำคัญแสดงว่าคำพิพากษาคดีถึงที่สุดที่จำเลยยื่นส่งศาลเพื่อประกอบการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีแพ่งที่พิจารณาอยู่นี้ โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยร่วมกันทุจริตเบียดบังเอาข้าวสารจำนวน18,096 กระสอบของโจทก์ไปและขอให้ชดใช้เงินค่าข้าวสารนั้นเป็นมูลคดีเดียวกันกับคดีอาญาดังกล่าวข้างต้นซึ่งกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันทุจริตเบียดบังข้าวสารจำนวน 18,096 กระสอบของโจทก์ไป ขอให้ลงโทษและขอให้คืนหรือใช้ราคาข้าวสารเช่นเดียวกัน จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติว่า "ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา" เมื่อคดีปรากฏว่าศาลได้พิพากษายกฟ้องในคดีอาญาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมเบียดบังยักยอกข้าวสารจำนวน 18,096 กระสอบของโจทก์ไปคดีถึงที่สุดแล้ว ในการพิพากษาคดีแพ่งนี้ศาลฎีกาจึงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว โดยต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกันทุจริตเบียดบังเอาข้าวสารจำนวน 18,096 กระสอบของโจทก์ไปด้วย ฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลคดีเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ดังโจทก์ฟ้อง"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th