ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าพนักงานได้บุกรุกเข้าไปในกุฏิของโจทก์ที่ 1 โดยไม่มีหมายค้นและหมายจับ อ้างว่ามีของผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง เมื่อไม่พบของผิดกฎหมาย ก็ได้ควบคุมตัวโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ซึ่งไปเอาของที่ฝากไว้ที่กุฏิของโจทก์ที่ 1 ไปสถานีตำรวจโดยข่มขืนใจให้จำยอมให้ค้นและควบคุมตัว แล้วหน่วงเหนี่ยวคุมขังโจทก์ทั้งสองเป็นเหตุให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและร่วมกันลักทรัพย์เสื้อผ้าของโจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ได้พูดหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองทำนองว่า โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นพระสงฆ์นอนค้างคืนกับโจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นหญิง ซึ่งไม่เป็นความจริง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 157, 309, 310, 326, 310, 326, 340, 362, 91

ก่อนไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ทั้งสองสำนวนถอนฟ้องจำเลยที่ 3

ศาลชั้นต้นรวมการไต่สวนมูลฟ้อง และประทับฟ้องเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 362 ข้อหาอื่นไม่มีมูล ให้ยกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกาขอให้ประทับฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่จะจับผู้ใดนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 บัญญัติบังคับไว้ว่าจะจับไม่ได้เว้นแต่เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80 หรือเมื่อพบบุคคลนั้นกำลังพยายามกระทำความผิด หรือพบโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะกระทำความผิดโดยมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิดหรือเมื่อมีเหตุอันสมควรสงสัยว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดมาแล้วและจะหลบหนี หรือเมื่อมีผู้ขอให้จับโดยแจ้งว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดและแจ้งด้วยว่าได้ร่วมทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้ว เมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่จับด้วยตนเองไม่ต้องมีหมาย แต่ต้องเป็นในกรณีที่อาจออกหมายจับได้ หรือจับได้ตามประมวลกฎหมายนี้ เมื่อจำเลยทั้งห้าซึ่งเข้าค้นกุฏิของโจทก์ที่ 1 โดยไม่มีหมายค้น ค้นไม่พบของผิดกฎหมายแล้วก็ได้นำเอาเสื้อผ้าของโจทก์ที่ 2 จำนวน 1 กล่อง ซึ่งโจทก์ที่ 2 ฝ่ายโจทก์ที่ 1เก็บไว้ในห้องครัว และคุมตัวโจทก์ทั้งสองไปสถานีตำรวจอำเภอคลองหลวงโดยไม่มีหมายจับ โดยไม่แจ้งข้อหาให้ทราบ โดยโจทก์ทั้งสองไม่เต็มใจไปเมื่อถึงสถานีตำรวจก็กำหนดให้นั่ง จนถึงเวลาประมาณ 14 นาฬิกา โจทก์ทั้งสองจึงกลับจากสถานีตำรวจได้ เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งห้าจับโจทก์ทั้งสองโดยฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว เป็นการจับโดยไม่มีอำนาจจะทำได้ อันอาจเป็นความผิดฐานทำให้โจทก์ทั้งสองปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 ฟ้องของโจทก์ทั้งสองในข้อหานี้จึงมีมูล สำหรับข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 นั้น เห็นว่า การที่โจทก์ทั้งสองถูกจับไปสถานีตำรวจครั้งนี้ เป็นการไปเพราะถูกจับพาไป ไม่ใช่เป็นการไปเพราะจำเลยทั้งห้าข่มขืนให้ไปโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงเกียรติยศของโจทก์ทั้งสองตามฟ้องแต่ประการใด การกระทำของจำเลยทั้งห้าไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายมาตราดังกล่าว

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องของโจทก์ทั้งสองในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ไว้พิจารณาอีกข้อหาหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th