สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 281/2525

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 281/2525

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 350 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158, 195, 218

โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกันเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่1และที่2ได้รับชำระหนี้ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้อยู่แล้วข้อความดังกล่าวจำเลยที่3ย่อมเข้าใจคำฟ้องได้ดีว่าโจทก์ได้อ้างว่าจำเลยที่3รู้และได้กระทำไปโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่2ต่อศาลอาญาและกำลังใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา350แล้ว

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่3ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สินโดยกล่าวอ้างว่าเป็นของตนการซ่อนเร้นนั้นย่อมเข้าใจความหมายได้ชัดเจนดีอยู่แล้วส่วนจะกระทำด้วยวิธีอย่างใดเป็นเรื่องรายละเอียดซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้เงินกู้และออกเช็คชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ไว้แล้วไม่ใช่หนี้โจทก์ ต่อมาปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญาในความผิดฐานจ่ายเช็คไม่มีเงินหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามโดยมีเจตนาร่วมกันเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้อยู่แล้ว ได้ร่วมกันขนย้ายทรัพย์สินต่าง ๆ ซึ่งเป็นของจำเลยทั้งสองไปซ่อนเร้นในโกดังของจำเลยที่ 3 และได้โอนขายให้แก่ผู้อื่นไปเป็นบางส่วนโดยเจตนาทุจริตเพื่อโกงเจ้าหนี้ไม่ให้ได้รับชำระหนี้ และจำเลยที่ 3ได้ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สินเหล่านั้นอ้างว่าเป็นของตนทำให้โจทก์เสียหายโจทก์ได้ร้องทุกข์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว ขอให้ลงโทษจำเลย

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีศาล ศาลชั้นต้นออกหมายจับ แต่ยังไม่ได้ตัวจึงจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2

จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350, 83

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนฎีกาที่อ้างว่ฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์นั้น เห็นว่า ฟ้องข้อ 3 ของโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดเจนว่า จำเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกันเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับชำระหนี้ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้อยู่แล้วตามฟ้องข้อ 2 ข้อความดังกล่าวจำเลยที่ 3 ย่อมเข้าใจคำฟ้องได้ดีว่า โจทก์ได้อ้างว่าจำเลยที่ 3 รู้และได้กระทำไปโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญาในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และกำลังใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 แล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 3 อ้างนำมาปรับแก่คดีไม่ได้ ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาต่อไปว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สินเหล่านั้นกล่าวอ้างว่าเป็นของตน โดยไม่บรรยายว่าซ่อนเร้นอย่างไร ด้วยวิธีใด จำเลยไม่เข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ก็เห็นว่าการซ่อนเร้นนั้น ย่อมเข้าใจความหมายได้ชัดเจนดีอยู่แล้ว ส่วนการกระทำด้วยวิธีอย่างใดเป็นเรื่องรายละเอียดซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ห้างหุ้นส่วนจำกัดคราวน์มิวสิคเซ็นเตอร์ฯ จำเลย - นางอัญชลี จีระวรรณวงศ์ กับพวก

ชื่อองค์คณะ เสมา รัตนมาลัย สุนทร วรรณแสง ประมุข สวัสดิ์มงคล

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE