สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2824/2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2824/2563

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 185 วรรคสอง, 215, 218, 225

แม้ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย และฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จะต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีมีเหตุสมควรที่จะลงโทษจำเลยให้เหมาะสมตามความผิดและพฤติการณ์แห่งคดี ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยในความผิดดังกล่าวได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317, 319

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรกและวรรคสาม, 317 วรรคสาม (เดิม), 317 วรรคสาม, 319 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 ผู้ปกครองและผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตามคำฟ้องข้อ 1.1 ข้อ 1.3 ข้อ 1.5 ข้อ 1.7 ข้อ 1.9 ข้อ 1.11 ข้อ 1.13 ข้อ 1.15 ข้อ 1.17 ข้อ 1.19 ข้อ 1.21 ข้อ 1.23 ข้อ 1.25 ข้อ 1.27 ข้อ 1.29 ข้อ 1.31 ข้อ 1.33 ข้อ 1.35 ข้อ 1.37 ข้อ 1.39 ข้อ 1.41 ข้อ 1.43 ข้อ 1.45 ข้อ 1.47 ข้อ 1.49 ข้อ 1.51 ข้อ 1.53 ข้อ 1.55 และ ข้อ 1.57 รวม 29 กระทง จำคุกกระทงละ 6 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วยตามคำฟ้องข้อ 1.59 ถึงข้อ 1.67 รวม 9 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามตามคำฟ้องข้อ 1.2 ข้อ 1.4 ข้อ 1.6 ข้อ 1.8 และข้อ 1.10 รวม 5 กระทง จำคุกกระทงละ 12 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามตามคำฟ้องข้อ 1.12 ข้อ 1.14 ข้อ 1.16 ข้อ 1.18 ข้อ 1.20 ข้อ 1.22 ข้อ 1.24 ข้อ 1.26 ข้อ 1.28 ข้อ 1.30 ข้อ 1.32 ข้อ 1.34 ข้อ 1.36 ข้อ 1.38 ข้อ 1.40 ข้อ 1.42 ข้อ 1.44 ข้อ 1.46 ข้อ 1.48 ข้อ 1.50 ข้อ 1.52 ข้อ 1.54 ข้อ 1.56 และข้อ 1.58 รวม 24 กระทง จำคุกกระทงละ 8 ปี รวมจำคุก 444 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร รวม 29 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี (ที่ถูก ไปเพื่อการอนาจาร) รวม 9 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม รวม 5 กระทง จำคุกกระทงละ 6 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม รวม 24 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร รวม 29 กระทง ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร รวม 9 กระทง และฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม รวม 24 กระทง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกในแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาขอให้ลดโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลยในความผิดดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุลดโทษให้แก่จำเลยในความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิดบัญญัติระวางโทษสำหรับความผิดฐานนี้ให้จำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองที่เบิกความว่า ไม่ประสงค์จะให้จำเลยถูกจำคุก ประกอบกับจำเลยได้ตกลงชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 50,000 บาท และจะรับผิดชอบเลี้ยงดูผู้เสียหายที่ 2 เป็นภริยา ที่ผู้เสียหายที่ 1 ได้ตกลงกับจำเลยว่า หากจำเลยได้ทำตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ผู้เสียหายที่ 1 จะไม่ติดใจเอาความและดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป โดยในวันที่ทำบันทึกจำเลยได้ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 50,000 บาท ครบถ้วนแล้ว ต่อมาจำเลยก็ได้แต่งงานกับผู้เสียหายที่ 2 และเลี้ยงดูผู้เสียหายที่ 2 เป็นภริยา ทั้งตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายที่ 2 รักชอบพอจำเลยและมีเพศสัมพันธ์กันเป็นประจำจนผู้เสียหายที่ 2 ตั้งครรภ์ โดยจำเลยมิได้ใช้กำลังประทุษร้าย ทั้งจำเลยยังเป็นโสด ไม่เคยมีภริยามาก่อน และหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 กับจำเลยได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ต่อมาวันที่ 21 กันยายน 2561 ผู้เสียหายที่ 2 ได้คลอดบุตร จำเลยก็เป็นผู้แจ้งเกิดโดยระบุว่าตนเป็นบิดาและได้ให้การอุปการะดูแลผู้เสียหายที่ 2 กับบุตรด้วยดีตลอดมา กรณีจึงมีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลย อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เสียหายที่ 2 และบุตร ยิ่งกว่าจะจำคุกจำเลยไปเสียทีเดียว แม้ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร และฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีมีเหตุสมควรที่จะลงโทษจำเลยให้เหมาะสมตามความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยในความผิดดังกล่าวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม วางโทษจำคุกกระทงละ 8 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 20 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานอื่นทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี และคุมความประพฤติไว้ 3 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.515/2563

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดสว่างแดนดิน จำเลย - นาย ท.

ชื่อองค์คณะ อรรณพ วิทูรากร เกียรติพงศ์ อมาตยกุล อารีย์ เตชะหรูวิจิตร

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดสว่างแดนดิน - นายชนันดา หัวดอน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 - นายวิเศษ นิ่มกุล

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE