ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 2 ธนาคารเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีความเห็นว่าควรให้เจ้าหนี้ผู้ขอได้รับชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 322,699.66 บาท จากกองทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ส่วนหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 4 ฉบับ พร้อมทั้งดอกเบี้ยรวม 463,450 บาท เห็นควรยก
ศาลชั้นต้นเห็นด้วยกับความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ธนาคารเจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ธนาคารเจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน4 ฉบับ และวินิจฉัยว่าก่อนที่จำเลยที่ 2 จะออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ธนาคารเจ้าหนี้เพียง 7 วัน จำเลยที่ 2 เป็นหนี้ธนาคารเจ้าหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอยู่เป็นจำนวนถึง 691,591.43 บาท จนกระทั่งธนาคารเจ้าหนี้ต้องถอนเงินต้นและดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากประจำซึ่งจำเลยมอบให้เป็นประกันมาชำระหนี้ แต่จำเลยก็ยังคงเป็นหนี้ธนาคารเจ้าหนี้อยู่อีก 291,472.54 บาท อัตราดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 10 ต่อปี หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกันและเลยกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว การที่ธนาคารเจ้าหนี้ยอมให้จำเลยกู้เงินอีก 403,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินกำหนดใช้เงินคืนภายใน 2 วันนั้น เห็นได้ว่าจำเลยไม่อยู่ในฐานะที่จะชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินได้ หนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ที่ธนาคารเจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อธนาคารเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ธนาคารเจ้าหนี้จึงไม่อาจขอรับชำระหนี้รายนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94(2)
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








