คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2525
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 219, 372, 572, 573
สัญญาเช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 57 นั้น เป็นสัญญาเช่าอย่างหนึ่ง ผู้ให้เช่าย่อมมีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้ผู้เช่าได้ใช้ประโยชน์ตามสัญญา โจทก์ตกลงเช่าซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ขายพร้อมที่ดิน มิใช่เช่าซื้อมาเพื่อรับเงินค่าทดแทนการเวนคืน เมื่อจำเลยไม่สามารถส่งมอบที่ดินให้โจทก์ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ตามสัญญาเพราะที่ดินถูกเวนคืน การชำระหนี้ย่อมตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้ จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ย่อมมีมีสิทธิที่ชำระหนี้ตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 372 วรรคแรก โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วคืนจากจำเลย
สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งคู่สัญญาต่างมีหนี้ที่จะต้องชำระตอบแทนกัน แม้จำเลยจะหลุดพันจากการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทนตามมาตรา 372 วรรคแรก กรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายใดให้สิทธิจำเลยที่จะได้รับชำระหนี้ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องชำระหนี้ตอบแทน
สัญญาเช่าซื้อนั้น ผู้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ้งก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 และในกรณีที่การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยตามมาตรา 219 แม้สัญญาไม่เลิกกัน ก็ย่อมระงับเพราะไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ ๑๕๕๕ รวมเป็นเงิน ๑๑,๕๐๑,๖๐๐ บาท โดยผ่อนชำระเป็นสามงวดในการทำสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจำเลยทราบดีว่าโจทก์ซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ขายพร้อมที่ดิน โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยไปแล้ว ๑,๓๙๔,๑๕๐ บาท พร้อมเช็ค ๒ ฉบับ โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารในที่ดินดังกล่าวต่อหมวดควบคุมอาคารฯ หมวดควบคุมอาคารฯ ไม่ยอมอนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ โดยอ้างว่าที่ดินอยู่ในแนวถนนโครงการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โจทก์ไม่สามารถปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินได้หากโจทก์ชำระเงินให้จำเลยต่อไป จำเลยก็ไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ได้ การชำระหนี้จึงกลายเป็นพ้นวิสัยที่จำเลยจะชำระให้แก่โจทก์ได้ โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและขอเงินค่าเช่าซื้อกับเช็ค ๒ ฉบับ ที่ได้ชำระไปแล้วคืนแต่จำเลยไม่ยอม ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ และได้รับชำระเงินค่าเช่าซื้อ พร้อมด้วยเช็ค ๒ ฉบับจริง ในขณะทำสัญญาจำเลยไม่ทราบว่ามีทางด่วนผ่าน จำเลยหรือแม้แต่โจทก์ก็ไม่เคยคาดหมายว่าที่ดินที่ตกลงซื้อขายนั้นจะถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางด่วน โจทก์จึงตกอยู่ในฐานะต้องเสี่ยงเคราะห์กรรมเอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การเวนคืนที่ดินพิพาทไม่ทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเป็นพ้นวิสัย และการที่ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่มีพระราชกฤษฎีกาเวนคืน ไม่หมายความว่าที่ดินพิพาทติดภาระใด ๆ ซึ่งจะทำให้ติดขัดในการโอนตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๒ ข้อ ๕ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ชำระแล้วคืนแต่จำเลยต้องคืนเช็ค ๒ ฉบับ ตามฟ้องให้โจทก์ พิพากษาให้จำเลยคืนเช็ค ๒ ฉบับตามฟ้องให้แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑,๓๙๔,๑๕๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๗๒ สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าอย่างหนึ่ง ดังนั้นจำเลยในฐานะผู้ให้เช่าย่อมมีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้โจทก์ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ตามสัญญาคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ตกลงเช่าซื้อที่ดินรายพิพาทจากจำเลยเพื่อปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ขายพร้อมที่ดิน แต่โจทก์ไม่สามารถเข้าปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินรายพิพาทเพื่อขายพร้อมที่ดินได้ เพราะที่ดินรายพิพาทอยู่ในเขตที่ดินที่จะถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางด่วน สายบางนา - ท่าเรือ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตพระโขนงและเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พ.ศ.๒๕๒๐ ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๒๐ แม้ขณะที่โจทก์จำเลยทำสัญญากันจะยังไม่มีกฎหมายกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อสร้างทางด่วนสายบางนา - ท่าเรือ ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าที่ดินรายพิพาทอยู่ในแนวถนนโครงการดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว ทางการจึงไม่ยอมอนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคารอย่างใด ๆ แล้วต่อมาในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้นก็ได้มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนรวมทั้งที่ดินรายพิพาทด้วย จริงอยู่ที่ดินที่อยู่ในเขตที่จะเวนคืนนั้น พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.๒๔๘๒ มาตรา ๔๖ ตามที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัย ซึ่งต่อมาได้ถูกยกเลิกโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๑๙ และมีข้อความทำนองเดียวกันกำหนดไว้ในข้อ ๖๙ มิได้ห้ามโอนกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาดโดยการโอนกรรมสิทธิ์อาจกระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ แต่ที่โจทก์ตกลงเช่าซื้อที่ดินรายพิพาทจากจำเลยก็เพื่อปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ขายพร้อมที่ดิน หาใช่ประสงค์จะเช่าซื้อที่ดินมาเพื่อรับเงินค่าทดแทนการเวนคืนไม่ เมื่อจำเลยไม่สามารถส่งมอบที่ดินรายพิพาทให้โจทก์ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ตามสัญญาเพราะที่ดินถูกเวนคืน การชำระหนี้ย่อมตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้ จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๒ วรรคแรก โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินและเช็คที่ชำระไปแล้วคืนจากจำเลย
ที่จำเลยฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๑๙ ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินและเช็คให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งคู่สัญญาต่างมีหนี้ที่จะต้องชำระตอบแทนกัน แม้จำเลยจะหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๙ จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทนตามมาตรา ๓๗๒ วรรคแรก ในกรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายใดให้สิทธิจำเลยที่จะได้รับชำระหนี้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องชำระหนี้ตอบแทน จำเลยจึงต้องคืนเงินและเช็คให้โจทก์
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งโดยข้อสัญญาและข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๓ ผู้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้และกรณีการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอันโทษลูกหนี้ไม่ได้ซึ่งลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๙ นั้น แม้สัญญาไม่เลิกก็ย่อมระงับเพราะไม่มีผลบังคับตามกฎหมายต่อไป
พิพากษายืน.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นายไพบูลย์ แสงเจริญตระกูล ล. - นายบุญญา จริยะเวช
ชื่อองค์คณะ ศักดิ์ สนองชาติ เฟื่องขจิต รัศมิภูติ เฟื่องขจิต รัศมิภูติ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลแพ่ง - นายสมคิด ณ นคร ศาลอุทธรณ์ - นายกิติ บูรพรรณ์