โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบริษัทจำกัด โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ถือหุ้นบริษัทจำเลยคนละ15 หุ้น โจทก์ที่ 3 ถือหุ้น 25 หุ้น จำเลยยังไม่ได้ออกใบหุ้นให้โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยออกใบหุ้นให้แก่โจทก์ทั้งสามด้วย

จำเลยให้การว่า การทำบัญชีผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยมีการผิดพลาดโดยเฉพาะที่ระบุว่าโจทก์ที่ 3 มีหุ้น 25 หุ้น และบัญชีผู้ถือหุ้นดังกล่าวไม่มีผลตามกฎหมายเพราะยังไม่ได้ทำหนังสือโอนหุ้น ใบหุ้นของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ออกไว้แล้ว ส่วนโจทก์ที่ 3 ถ้าเลิกประพฤติเป็นปรปักษ์ ก็ยินดีโอนและออกหุ้นให้ 15 หุ้น

ศาลชั้นต้น พิพากษาให้บริษัทจำเลยส่งมอบใบหุ้นให้แก่โจทก์ตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยรับมาในฎีกาของจำเลยว่า เอกสารหมาย จ.1เป็นสำเนาบัญชีผู้ถือหุ้นในวันประชุมสามัญของบริษัทจำเลย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม2512 ที่จำเลยยื่นต่อนายทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1139 วรรคสอง ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนั้นเองได้กำหนดไว้ว่า บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ส่งไปยังนายทะเบียนให้มีรายการบรรดาที่ระบุไว้ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น จึงต้องถือว่าเอกสารหมาย จ.1เป็นสำเนาบัญชีผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยตามที่ปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นในวันที่ 1 พฤษภาคม 2512 นั่นเอง จำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าเอกสารหมาย จ.1 ไม่ถูกต้องตรงกับสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นอย่างไร จำเลยเพียงว่าอ้างว่าเอกสารหมาย จ.1อาจผิดพลาดเพราะนายทรง ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการคนก่อนเป็นผู้ทำโดยไม่รู้ภาษาไทย ไม่มีการแก้ไขรายชื่อผู้ถือหุ้นตามเอกสารหมาย จ.1 ในทะเบียนของสำนักงานทะเบียนห้างหุ้นส่วนเท่านั้น ซึ่งก็เป็นแต่คำกล่าวอ้างลอย ๆ หาได้มีพยานหลักฐานสนับสนุนไม่ จึงต้องฟังว่าเอกสารหมาย จ.1 เป็นสำเนาอันถูกต้องของสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1141เช่นเดียวกับสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น นอกจากนั้นการที่จำเลยทำเอกสารหมาย จ.1ระบุว่าโจทก์ที่ 3 มีหุ้นอยู่ในบริษัทจำเลยย่อมเป็นคำรับที่ทำให้จำเลยเสียประโยชน์ทำให้เอกสารนี้มีน้ำหนักน่ารับฟังยิ่งขึ้นอีกด้วย จึงเชื่อได้ว่าโจทก์ที่ 3 มีหุ้นอยู่ในบริษัทจำเลยจำนวน 25 หุ้น ตามที่ระบุในเอกสารหมาย จ.1

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา