สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2539

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2539

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 364, 365 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192, 195, 225

การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อชมรายการโทรทัศน์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายนั้นยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรและมีเจตนารบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายถึงแม้ว่าในขณะที่จำเลยจะออกจากบ้านได้ถือโอกาสกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายก็ตามการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา364และเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้แล้วจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา365(1)(3)ด้วย ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค2ฟังว่าเมื่อผู้เสียหายให้จำเลยกลับออกจากบ้านไปแล้วจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายเป็นกรณีที่จำเลยไม่ยอมออกจากบ้านผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายให้ออกไปจึงมีความผิดฐานบุกรุกนั้นเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคหนึ่งและวรรคสี่เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงเหตุที่จำเลยไม่ยอมออกถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกด้วยเหตุดังกล่าวจึงลงโทษจำเลยด้วยเหตุนี้ไม่ได้และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195วรรคสองประกอบด้วยมาตรา225ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278,295, 364, 365

จำเลยให้การปฎิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 295, 364, 365(1)(3) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278 ให้จำคุก 2 ปี

จำเลย อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลย ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาสั่งรับมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อชมรายการโทรทัศน์ก็โดยได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรและมีเจตนารบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายเพียงแต่เมื่อจำเลยจะออกจากบ้านผู้เสียหาย จึงถือโอกาสกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 และเมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 แล้ว จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(1)(3) ด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่าเมื่อผู้เสียหายให้จำเลยกลับออกจากบ้านไปแล้ว จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย เป็นกรณีที่จำเลยไม่ยอมออกจากบ้านผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายให้ออกไป จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกนั้นเป็นการพิพากษาเกินคำขอที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ เพราะโจทก์บรรยายฟ้องข้อหาบุกรุกแต่เพียงว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควรและกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขเท่านั้น ไม่ได้บรรยายถึงเหตุที่จำเลยไม่ยอมออกเมื่อผู้เสียหายไล่ให้ออกแล้วด้วย ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกด้วยเหตุดังกล่าว จึงลงโทษจำเลยฐานบุกรุกด้วยเหตุดังกล่าวไม่ได้ปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาในข้อที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องมานี้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานบุกรุก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร จำเลย - นาย อนุเทพ แซ่บ่าง

ชื่อองค์คณะ สละ เทศรำพรรณ สุรินทร์ นาควิเชียร ถวิล อินทรักษา

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE