ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินจาก ย. ซึ่งที่ดินดังกล่าว ย. ได้ตกลงให้จำเลยอาศัยทำการปลูกพืชไร่ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินแต่จำเลยไม่ออก โจทก์จึงได้ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินนั้น คดียังอยู่ในระหว่างการสืบพยาน การที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยเสียเงินค่าเช่าที่ดินให้โจทก์จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีก่อนโจทก์กล่าวในคำฟ้องว่า จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีสิทธิ ขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดิน เท่ากับโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยอยู่ในที่ดินโจทก์โดยละเมิด ฉะนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้โดยเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเช่าหรือค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ขาดประโยชน์ที่ไม่ได้ใช้ที่ดิน ก็โดยอาศัยมูลกรณีที่กล่าวหาว่าจำเลยอยู่ในที่ดิน โจทก์โดยละเมิด ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้จากจำเลยในคดีเดิมนั้นเอง แม้การฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยในคดีนี้จะเป็นประเด็นที่เพิ่มไปจากประเด็นในคดีเดิมก็ตาม แต่มูลกรณีที่จะเรียกร้องได้ก็ต้องอาศัยประเด็นตามฟ้องเดิมที่ว่าที่ดินเป็นของโจทก์จำเลยอยู่ในที่ดินโจทก์โดยละเมิดหรือไม่ อันเป็นประเด็นที่สืบเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันกับประเด็นในคดีนี้ จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันนั้นได้อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 466/2503 คุณหญิงวาศ ศรีวิกรมาทิตย์ โจทก์ บริษัทเกษตรกรรมทหารผ่านศึก จำกัด ฯ กับพวก จำเลย)
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








