คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2884/2563
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 215, 222
การที่จำเลยส่งสินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องไม่เหมาะสมแก่การใช้บรรจุอาหารตามความมุ่งหมายของโจทก์ เป็นเหตุให้สินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของโจทก์ที่ผลิตโดยใช้สินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องของจำเลยเกิดความเสียหายจากการกัดกร่อนของสนิมแลคเกอร์เคลือบพองและอื่น ๆ ย่อมถือได้ว่า จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนอันเกิดแต่การนั้นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 215 ซึ่งการเรียกเอาค่าเสียหายนั้นได้แก่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ และเรียกค่าสินไหมทดแทนได้แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ หากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็นหรือควรจะคาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 เงินค่าเสียหายซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตเป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ของจำเลย ส่วนค่าใช้จ่ายที่โจทก์จ้างผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ความเสียหายเพราะเหตุที่จำเลยปฏิเสธความรับผิด และค่าจัดเก็บสินค้าระหว่างที่มีข้อพิพาทระหว่างกัน เป็นความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ซึ่งจำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะคาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จึงเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 197,329,809 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 192,516,885 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าจัดเก็บสินค้าอัตราเดือนละ 222,823 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จหรือจนกว่าจะมีการทำลายสินค้าที่เสียหายทั้งหมด
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 197,329,809 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นค่าจัดเก็บสินค้าอัตราเดือนละ 222,823 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จ หรือมีการทำลายสินค้าที่เสียหายทั้งหมด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 112,186,710 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559) ไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยโจทก์และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านรับฟังได้เบื้องต้นว่า โจทก์ประกอบธุรกิจผลิตสินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องส่งขายแก่ลูกค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ จำเลยประกอบธุรกิจผลิตสินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องบรรจุอาหารขนาดต่าง ๆ โจทก์สั่งซื้อสินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องจากจำเลยเพื่อใช้ในการบรรจุสินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของโจทก์เป็นเวลากว่า 12 ปี ในระหว่างเดือนมิถุนายน 2557 ถึงเดือนกรกฎาคม 2558 โจทก์สั่งซื้อสินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องจากจำเลยรวม 61,539,820 ชิ้น เป็นเงินจำนวน 75,123,285.80 บาท เพื่อนำมาใช้ในการบรรจุสินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพื่อส่งออกให้ลูกค้ายังต่างประเทศ และโจทก์ใช้สินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องที่ซื้อจากจำเลยในการผลิตสินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของโจทก์จำนวน 221 ล็อต เป็นจำนวนสินค้า 11,218,671 กระป๋อง จนกระทั่งเดือนมีนาคม 2559 โจทก์พบว่า จำเลยส่งสินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องที่มีความชำรุดบกพร่องเนื่องจากคุณภาพของแลคเกอร์ที่ใช้เคลือบผิวกระป๋องและฝากระป๋องไม่เหมาะสมแก่การใช้บรรจุอาหารตามความมุ่งหมายของโจทก์ เป็นเหตุให้สินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของโจทก์ที่ผลิตโดยใช้สินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องของจำเลยเกิดความเสียหายจากการกัดกร่อนของสนิมแลคเกอร์เคลือบพองและอื่น ๆ
ประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ได้รับอนุญาตจากศาลฎีกามีว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการที่จำเลยส่งมอบสินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องที่มีความชำรุดบกพร่องแก่โจทก์ตามคำฟ้องเพียงใด เห็นว่า การที่จำเลยส่งสินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องที่มีความชำรุดบกพร่อง เนื่องจากคุณภาพของแลคเกอร์ที่ใช้เคลือบผิวกระป๋องและฝากระป๋องไม่เหมาะสมแก่การใช้บรรจุอาหารตามความมุ่งหมายของโจทก์ เป็นเหตุให้สินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของโจทก์ที่ผลิตโดยใช้สินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องของจำเลยเกิดความเสียหายจากการกัดกร่อนของสนิมแลคเกอร์เคลือบพองและอื่น ๆ ย่อมถือได้ว่า จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนอันเกิดแต่การนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 ซึ่งการเรียกเอาค่าเสียหายนั้นได้แก่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ และเรียกค่าสินไหมทดแทนได้แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ หากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 อย่างไรก็ตาม แม้จะรับฟังข้อเท็จจริงให้เป็นยุติตามทางนำสืบของโจทก์ที่ยืนยันข้อเท็จจริงตามคำฟ้องดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาว่า สินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของโจทก์ที่ผลิตโดยใช้สินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องของจำเลยเกิดความเสียหายจำนวน 11,218,671 กระป๋อง คิดเป็นต้นทุนการผลิตกระป๋องละ 16.90 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตจำนวน 189,595,540 บาท อันเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ของจำเลย ส่วนค่าใช้จ่ายที่โจทก์จ้างผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ความเสียหายเพราะเหตุที่จำเลยปฏิเสธความรับผิด เป็นเงินจำนวน 247,471 บาท ค่าจัดเก็บสินค้าระหว่างที่มีข้อพิพาทระหว่างกันเป็นเงินเดือนละ 222,823 บาท ระหว่างเดือนมิถุนายน 2557 ถึงกรกฎาคม 2559 เป็นเงินจำนวน 2,673,874 บาท เป็นความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ซึ่งจำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว เป็นเหตุให้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้เป็นเงินรวมจำนวน 192,516,885 บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 4,812,922.12 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 197,329,809 บาท แต่ทางนำสืบโจทก์ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์ใช้สินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องของจำเลยในการผลิตสินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของโจทก์ในช่วงเดือนมิถุนายน 2557 ถึงกรกฎาคม 2558 คิดเป็นจำนวนสินค้า 11,218,671 กระป๋อง แต่โจทก์ตรวจสอบพบว่าสินค้าประเภทกระป๋องและฝากระป๋องของจำเลยที่โจทก์ใช้ในการผลิตสินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของโจทก์มีความชำรุดบกพร่อง เป็นเหตุให้สินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของโจทก์เกิดความเสียหายเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นการตรวจสอบผลผลิตสินค้าประเภทอาหารทะเลบรรจุกระป๋องจำนวน 11,218,671 กระป๋องของโจทก์หลังจากกระบวนการผลิตในช่วงเดือนมิถุนายน 2557 ถึงเดือนกรกฎาคม 2558 นับว่าเป็นเวลาเนิ่นนานเกินสมควรตามปกติวิสัยของวิถีทางในการประกอบธุรกิจ ถือได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายผู้เสียหายมีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วย เห็นสมควรกำหนดให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้จนถึงวันฟ้องเพียงกึ่งหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนจำนวน 197,329,809 บาท ที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้อง เมื่อคิดคำนวณแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์จนถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 98,664,904.50 บาท ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายในการจัดเก็บสินค้า อัตราเดือนละ 222,823 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์ โดยอ้างว่าการที่โจทก์ยังเก็บสินค้าไว้ในโกดังทั้งสามแห่ง ก็เพื่อรอการพิสูจน์ความเสียหายในศาล สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา และมีตัวอย่างให้หน่วยงานทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ หากจำเลยไม่ยอมชำระหนี้จนครบถ้วน ค่าจัดเก็บสินค้าก็ยังคงมีอยู่ และเป็นการยืนยันว่ามีสินค้าพิพาทได้รับความเสียหายจริง และยังอยู่ในโกดังของโจทก์ แต่ค่าเสียหายในส่วนนี้มิใช่ผลเกิดขึ้นโดยตรงจากการที่จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้และไม่ใช่ความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษอันจำเลยอาจคาดเห็นหรือควรได้คาดเห็น ทั้งไม่มีกฎหมายบังคับให้จำเลยต้องรับผิดในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายในการจัดเก็บสินค้า อัตราเดือนละ 222,823 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์ และด้วยเหตุผลดังได้วินิจฉัยมา ฎีกาในข้ออื่นของโจทก์และจำเลยที่ยังคงโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องรับผิดแก่โจทก์ ย่อมไม่อาจหักล้างเป็นอย่างอื่นหรือเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีไปได้ ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 98,664,904.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559) ไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.76/2563
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท อ. จำเลย - บริษัท พ.
ชื่อองค์คณะ วิชิต ลีธรรมชโย เฉลิมชัย ศรีเลิศชัยพานิช วิบูลย์ แสงชมภู
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดสมุทรสาคร - นางอำไพ อรัญนารถ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 - นายอรุณ เรืองเพชร