ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ตลอดจนขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป

จำเลยให้การว่า โจทก์เคยมอบอำนาจให้นายณรงค์เอี่ยววิบูลย์วิทย์ ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2537 ของศาลชั้นต้น ต่อมานายณรงค์ได้ขอถอนฟ้องในคดีดังกล่าว ทำให้คดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยเข้าปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และจำเลยไม่เคยทำบันทึกยืนยันขอปลูกบ้านอาศัยและปลูกพืชผลในที่ดินของโจทก์ บ้านตามเอกสารท้ายฟ้องเอกสารหมาย 7และ 9 มิใช่บ้านของจำเลย แต่เป็นบ้านของผู้มีชื่อคนอื่น โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และนับแต่ประทานบัตรการทำเหมืองแร่ของโจทก์หมดอายุ โจทก์ก็ได้ละทิ้งการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวนับถึงปัจจุบันเกินกว่า 10 ปี แต่เมื่อราคาที่ดินแปลงดังกล่าวสูงขึ้นโจทก์จึงกลับเข้ามาอ้างสิทธิ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เดิมที่ดินที่พิพาทกันในคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ได้รับโอนประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่เลขที่ 9597/7450 มาจากบริษัทไซมิสทินซินดิเกต จำกัด ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2516โจทก์ได้ขอประทานบัตรใหม่ตามเขตประทานบัตรเดิมและเจ้าหน้าที่ได้ออกประทานบัตรใหม่เลขที่ 9597/11515 มีอายุ 9 ปี นับแต่วันที่6 กุมภาพันธ์ 2519 จนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2528 หลังจากนั้นไม่มีการต่ออายุประทานบัตรอีก

ปัญหาข้อแรกที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากจำเลยให้การว่า โจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2537 ของศาลชั้นต้นเคยฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ได้ถอนฟ้องไปโดยสละสิทธิในการนำคดีมาฟ้องใหม่ คำร้องขอถอนฟ้องดังกล่าวผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย โจทก์ในคดีนี้จึงไม่มีสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องจำเลยได้อีก และศาลจะต้องนำบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 มาปรับเข้ากับข้อเท็จจริงในคดีนี้ มิใช่นำมาตรา 148 มาปรับ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยนั้น เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2537ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยอ้างไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตอนใดในสำนวนดังกล่าวว่า โจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจในคดีดังกล่าวกระทำการแทนบริษัทงานทวีพี่น้อง จำกัด โจทก์ในคดีนี้แต่อย่างใด การถอนฟ้องของโจทก์ในคดีก่อนจึงไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176และเมื่อโจทก์คดีนี้มิใช่คู่ความเดียวกับคู่ความในคดีก่อนจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่

ปัญหาข้อต่อมาที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่เจ้าของและผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้นเห็นว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำเอกสารหมาย จ.6 คือเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 และ 6 ให้ไว้แก่โจทก์จริง แม้หนังสือดังกล่าวจะไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าบริเวณที่จำเลยขออาศัยกว้างยาวเท่าใด บ้านเลขที่เท่าใดก็ตามแต่โจทก์ก็มีแผนที่แสดงตำแหน่งบริเวณที่จำเลยขอปลูกบ้านอยู่อาศัยและปลูกพืชผลเพื่อทำกินในที่ดินของโจทก์แนบมาด้วยแล้ว ดังนี้ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทที่จำเลยขออยู่อาศัยเป็นของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่า โจทก์ฟ้องขอคืนซึ่งการครอบครองในที่ดินพิพาทเกินหนึ่งปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นดังกล่าว แม้ปัญหาดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นอ้างเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นข้อกฎหมายอันเกิดจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ กล่าวคือต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานหลักฐาน ซึ่งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบเท่านั้น หากเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็นแล้ว ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยมิได้เข้าปลูกบ้านอาศัยในที่ดินพิพาท บ้านเลขที่ตามฟ้องมิใช่บ้านของจำเลย และนำสืบว่าจำเลยเข้าไปดูแลบุตรสาวและหลานจำเลยเป็นบางครั้งเท่านั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาจากโจทก์จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกประเด็น ศาลฎีกาจึงไม่อาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาได้

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th