ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 310, 318

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสาม (เดิม), 310 วรรคหนึ่ง (เดิม), 318 วรรคสาม (เดิม) ประกอบมาตรา 83, 86 (ที่ถูก ไม่ต้องประกอบมาตรา 83) เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 18 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย จำคุก 6 ปี ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 ปี จำเลยนำสืบรับข้อเท็จจริงบางข้อ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา และหลังเกิดเหตุจำเลยชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายที่ 1 ไปส่วนหนึ่งเพื่อเยียวยาความเสียหายเป็นการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงแรก 4 ปี กระทงหลัง 5 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 9 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสาม (เดิม), 310 วรรคหนึ่ง (เดิม), 318 วรรคสาม (เดิม) ประกอบมาตรา 83 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าผู้เสียหายที่ 1 เป็นบุตรของผู้เสียหายที่ 2 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุ 15 ปีเศษ อยู่ในความปกครองดูแลของบิดามารดา ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องนาย ธ. กับพวก ล่อลวงพาผู้เสียหายที่ 1 ไปข่มขืนกระทำชำเราที่ขนำกลางทุ่งนา โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงเพื่อสนองความใคร่ และจำเลยติดตามผู้เสียหายที่ 1 ไปและอยู่ในที่เกิดเหตุตลอดระยะเวลาที่ผู้เสียหายที่ 1 ถูกกระทำชำเราด้วย

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า แม้ตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 และนาย จ. จะไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยร่วมข่มขืนกระทำชำเราหรือเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ก็ตาม แต่ตามคำให้การที่นาย จ. ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การพยานในคดีอื่นและคำเบิกความของนาย จ. ในคดีดังกล่าวได้ความว่า ขณะนาย จ. กำลังขับรถจักรยานยนต์มีผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนท้ายกลับบ้านพบนาย ธ. ขับรถจักรยานยนต์มีจำเลยนั่งซ้อนท้ายมาจอด จำเลยบอกให้นาย จ. ช่วยไปส่งเพื่อนเพราะพวกของตนหลายคนแต่มีรถจักรยานยนต์ไม่เพียงพอแก่การโดยสาร จำเลยลงจากรถจักรยานยนต์ที่นาย ธ. ขับไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่นาย จ. ขับและผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนตรงกลาง นาย จ. ขับรถจักรยานยนต์แล่นไปยังขนำที่เกิดเหตุตามคำบอกเส้นทางของจำเลย เมื่อไปถึงนาย ล. ออกจากขนำไปดึงลูกกุญแจรถจักรยานยนต์ของนาย จ. ออกแล้วผู้เสียหายที่ 1 ถูกพวกนาย ธ. ฉุดกระชากตัวเข้าไปในขนำบังคับข่มขืนกระทำชำเราโดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน แต่สำหรับคดีนี้ผู้เสียหายที่ 1 และนาย จ. เบิกความ หลังเกิดเหตุเป็นเวลาเกือบสิบปี โดยผู้เสียหายที่ 1 ยอมรับว่าได้รับเงินจากจำเลย 30,000 บาท ส่วนนาย จ. ไม่ยอมไปเบิกความจนศาลชั้นต้นต้องออกหมายจับจึงมาเบิกความได้ พฤติการณ์เช่นนี้เชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 และนาย จ. ย่อมเบิกความให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยได้ ถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรในชั้นพิจารณาคดีนี้ที่จะรับฟังคำเบิกความของนาย จ. ที่เบิกความไว้ในคดีอื่นที่พวกของจำเลยถูกฟ้องในการกระทำความผิดเดียวกันนี้ประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/5 เมื่อผู้เสียหายที่ 1 และนาย จ. ต่างเบิกความรับรองบันทึกคำให้การพยานในคดีนี้ และเอกสารในคดีอื่นตามลำดับ ว่าเป็นคำให้การที่ผู้เสียหายที่ 1 ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุและนาย จ. ให้การหลังเกิดเหตุเพียง 5 วัน ไม่มีเวลาคิดแต่งเติมเสริมข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทั้งผู้เสียหายที่ 1 และนาย จ. ให้การขณะยังเป็นเยาวชน มีพนักงานอัยการและนักจิตวิทยาอยู่ด้วย ไม่มีข้อพิรุธใดอันเป็นเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะบิดเบือนข้อเท็จจริงปรักปรำใส่ความผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยซึ่งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยตามบันทึกคำให้การพยานของนาย จ. ระบุว่า จำเลยมิได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เพียงเข้าช่วยเหลือพวกของจำเลยเท่านั้น หากนาย จ. จะบิดเบือนแต่งเติมข้อเท็จจริงให้ร้ายจำเลยย่อมสามารถยืนยันได้ว่าจำเลยเข้าร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ด้วยได้ บันทึกคำให้การพยานในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 และนาย จ. จึงเชื่อได้ว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาของศาล นอกจากนี้โจทก์ยังมีคำให้การที่นาย ธ. ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุในสำนวนคดีอื่น โดยมีพนักงานสอบสวนเบิกความรับรองเอกสารในคดีดังกล่าวว่า นาย ธ. ให้การโดยระบุชัดแจ้งถึงการกระทำของตนและพวกเป็นรายบุคคลไป กล่าวถึงจำเลยว่าร่วมผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจับแขนขาและกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ด้วย แม้บันทึกคำให้การผู้ต้องหาและบันทึกรับสารภาพของนาย ธ. เป็นพยานบอกเล่า และโจทก์มิได้นำนาย ธ. มาเบิกความ แต่กฎหมายมิได้บัญญัติห้ามมิให้รับฟังพยานบอกเล่าเสียทีเดียว หากพิจารณาตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้นเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานบอกเล่าและซัดทอดนั้น เพียงแต่ว่าการชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอดหรือพยานที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) และมาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง ตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหาของนาย ธ. ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวการร่วมกระทำความผิดสำคัญที่กล่าวถึงการกระทำของตนและผู้ที่ร่วมกระทำผิดด้วยกันดังกล่าวย่อมมิใช่เป็นเพียงคำซัดทอดเพื่อให้ตนพ้นจากความผิด และน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ จึงรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ที่จำเลยนำสืบและฎีกาอ้างว่า จำเลยร่วมไปยังที่เกิดเหตุโดยเข้าใจว่าพวกจะพากันไปร่วมงานวันครบรอบวันเกิดเพื่อนโดยไม่ทราบว่าบุคคลเหล่านั้นจะกระทำความผิด และจำเลยพยายามห้ามมิให้พวกของตนล่วงเกินผู้เสียหายที่ 1 แล้วแต่ไม่เป็นผลนั้น นอกจากขัดต่อเหตุผลเนื่องจากขณะเกิดเหตุเป็นเวลาวิกาล ที่เกิดเหตุเป็นทุ่งนาห่างไกลจากบ้านคนและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการจัดงานวันเกิดแต่อย่างใด ทั้งจำเลยก็อยู่ในที่เกิดเหตุตลอดเวลาจนออกจากที่เกิดเหตุเวลา 3 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้ตามคำให้การของบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ให้การหลังเกิดเหตุทันทีไม่ปรากฏว่ามีพยานคนใดที่ให้การว่าจำเลยได้ห้ามมิให้พวกล่วงเกินผู้เสียหายที่ 1 หรือจำเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักแก่การรับฟัง พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวเมื่อรับฟังประกอบกันแล้วจึงมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดกับนาย ธ. และพวก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาโดยปรับบทความผิดให้ถูกต้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.984/2562

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th