ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2534 โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ก่อสร้างบ้านตามแบบแปลนที่หมู่ที่ 6 ตำบลสุโสะอำเภอปะเหลี่ยน จังหวัดตรัง รวมค่าวัสดุอุปกรณ์ครุภัณฑ์และค่าแรงจำนวนเงิน 850,000 บาท ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน 2535ถ้าไม่เสร็จภายในกำหนด จำเลยที่ 1 ยอมให้ปรับวันละ 1,000 บาทโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 สร้างแล้วเสร็จและมอบงานวันที่ 16 กันยายน 2535 จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าปรับให้โจทก์ 139,000 บาท วันส่งมอบงาน จำเลยที่ 1 หาสีบ้านไม่ถูกต้อง โจทก์ได้ทักท้วงแล้ว ต้นเดือนสิงหาคม 2536 โจทก์พบว่าจั่วเฉลียงหน้าบ้านแตกร้าวรางน้ำฝนผิดแบบ แผ่นบันไดทรุดและหลวมเพดานบน-ล่างหย่อนยานหลุด ไม่ปิดช่องกั้นค้างคาวตามแนวหลังคาหน้าหลัง ก๊อกน้ำโถส้วมใช้ไม่ได้ โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ซ่อมแซมจำเลยที่ 1 ไม่จัดการให้ โจทก์จึงได้จ้างช่างอื่นซ่อมแซมแก้ไข รวมเป็นเงิน 67,650 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน206,650 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 รับจ้างก่อสร้างบ้านพิพาทให้แก่โจทก์จริงตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างตามสัญญาทุกประการและส่งมอบบ้านพิพาทในสภาพเรียบร้อยให้โจทก์ โจทก์รับมอบโดยมิได้อิดเอื้อนหรือทักท้วงถึงความชำรุดบกพร่องหรือเรียกเอาเบี้ยปรับจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องเสียค่าปรับ 139,000 บาท และจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง เพราะโจทก์เป็นผู้จัดหาช่างทำรางน้ำฝนด้วยตนเอง บันไดหลวมทรุดเพียงใช้ตะปูตอกก็ใช้การได้ เพดานก็ให้ช่างดึงเหล็กลวดซึ่งติดกับโครงหลังคาให้ตึงเช่นเดิม เสียค่าแรงงานไม่เกิน 200 บาท ช่องปิดกั้นค้างคาวมิได้ระบุไว้ในสัญญา ค่าก๊อกน้ำโถส้วมราคาไม่เกิน 500 บาท และจั่วเฉลี่ยงแก้ได้โดยสกัดรอยแตกฉาบปูนใหม่ ค่าใช้จ่ายไม่เกิน 300 บาท และโจทก์รับมอบบ้านโดยมิได้อิดเอื้อนหรือท้วงติงความชำรุดบกพร่องภายใน 1 ปี นับแต่ได้ทราบถึงความชำรุดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 2,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้จำเลยที่ 2ชำระแทน คำขออื่นให้ยก

โจทก์ อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน

โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จำเลยทั้งสองจะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาข้อเดียวว่า โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสองเพราะโจทก์รับมอบบ้านโดยไม่อิดเอื้อนและมิได้สงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับ ข้อนี้เห็นว่าตามคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันส่งมอบงานมีการโต้แย้งกันเรื่องค่าจ้างจึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะรับมอบงานโดยไม่อิดเอื้อน และคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ก็เจือสมกับบันทึกเอกสารหมาย จ.3 ที่ระบุว่าจำเลยที่ 1 ส่งมอบงานให้โจทก์วันที่ 16 กันยายน2535 และในเอกสารดังกล่าวระบุว่าค่าปรับจำเลยที่ 1 ขอผัดผ่อนไปก่อน โจทก์ขอสงวนสิทธิไว้เพื่อจะเรียกร้องต่อไป ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ได้สงวนสิทธิไว้เช่นนั้นในเวลาชำระหนี้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าปรับจากจำเลยทั้งสองได้

ในส่วนที่เกี่ยวกับฎีกาของโจทก์นั้น โจทก์ฎีกาข้อ 2 ว่าโจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าซ่อมแซม จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ปรากฎว่าตามสัญญาจ้างเหมาสร้างบ้านเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 6 มีข้อความว่า"เมื่องานจ้างตามสัญญานี้แล้วเสร็จเรียบร้อยและผู้ว่าจ้างได้รับมอบงานจากผู้รับจ้างแล้ว ถ้ามีเหตุชำรุดเสียหายเกิดขึ้นแก่งานจ้างนี้ตามรายละเอียดและข้อผูกพันตามสัญญานี้ นับตั้งแต่วันที่ได้รับมอบงานจ้างเป็นวันเริ่มต้น ซึ่งเหตุชำรุดเสียหายนั้นเกิดจากความบกพร่องของผู้รับจ้าง จะเป็นโดยทำไว้ไม่เรียบร้อยหรือใช้สิ่งของวัสดุที่ไม่ดี คุณภาพต่ำ หรือที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการช่างก็ตามผู้รับจ้างจะต้องรับผิดชอบทำการแก้ไข ซ่อมแซม ตกแต่งหรือทำใหม่ให้เรียบร้อยภายในกำหนดเวลาที่ผู้ว่าจ้างกำหนดโดยไม่คิดค่าวัสดุสิ่งของค่าแรงงานหรือค่าใช้จ่ายอื่นใดจากผู้ว่าจ้างอีกถ้าผู้รับจ้างบิดพลิ้วไม่ทำการแก้ไขซ่อมแซมเหตุชำรุดดังกล่าวภายในเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือหรือวาจาจากผู้ว่าจ้าง โดยให้นับวันที่รับแจ้งเป็นวันที่เริ่มต้น หรือแก้ไขซ่อมแซมให้แล้วเสร็จเรียบร้อยภายในเวลาที่ผู้ว่าจ้างกำหนดผู้ว่าจ้างผู้อื่นให้ทำงานจ้างนั้นแทนผู้รับจ้างได้ และให้ถือว่าผู้รับจ้างตามสัญญานี้ ฯลฯ" และคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 1 ทำงานผิดพลาดบกพร่องโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 มาจัดการซ่อมแซม แต่จำเลยที่ 1ไม่มาทำ โจทก์ต้องไปจ้างช่างอื่นมาทำให้ใหม่ จำเลยที่ 1ต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์รวมเป็นเงิน 67,650 บาท เป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาข้อดังกล่าว จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

และปรากฎว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ารายการเกี่ยวกับการทาสีบ้าน บันไดหลุดหลวม ก๊อกน้ำโถส้วม ปูนฉาบบ้านร้าวขาดอายุความโจทก์อุทธรณ์ว่ารายการดังกล่าวไม่ขาดอายุความ ศาลอุทธรณ์ภาค 3เห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ จึงไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับความเสียหายดังกล่าว เป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งและศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในรายการดังกล่าวหรือไม่โดยไม่ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 247 ข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า บ้านโจทก์ชำรุดบกพร่อง โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 มาทำการซ่อมแซมแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่มา โจทก์จึงมีสิทธิจ้างผู้อื่นให้ทำงานแทนจำเลยที่ 1 ได้ และการที่จำเลยที่ 1 ไม่ทำการซ่อมแซมจำเลยที่ 1 จึงผิดสัญญาข้อ 6 และแม้โจทก์จะยังไม่ได้จ้างบุคคลอื่นซ่อมแทนจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ก็เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าจ้างบุคคลอื่นทำแทนจำเลยที่ 1 จากจำเลยทั้งสองได้ แต่ปรากฎว่าตามสัญญาก่อสร้างไม่ได้ระบุว่า ช่องหลังคาต้องป้องกันค้างคาวได้ จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับรายการดังกล่าว ส่วนรายการอื่นโจทก์เบิกความแต่เพียงว่า ค่าจ้างและค่าวัสดุโจทก์สอบถามจากผู้มีความรู้ทางช่างเท่านั้น ไม่มีพยานสนับสนุนได้ พิเคราะห์พฤติการณ์ในคดีนี้แล้ว เห็นควรกำหนดให้โจทก์รวม 20,000 บาท

ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระค่าปรับให้โจทก์ 50,000 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์รวม52,500 บาท แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิด50,000 บาท โดยเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรางน้ำฝนและเพดาน เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาข้อนี้ของโจทก์ โดยให้เหตุผลว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกาขอให้ศาลฎีกาสั่งรับฎีกาข้อนี้เพราะเป็นฎีกาข้อกฎหมาย เห็นว่าปัญหาดังกล่าวได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปแล้วว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าซ่อมรางน้ำฝนและเพดานโดยกำหนดให้จำนวน 2,500 บาทศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงไม่มีอำนาจยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรางน้ำฝนและเพดาน และถือว่าเป็นปัญหาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 72,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th