ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 131 และเลขที่ 140 เมื่อปี 2527 จำเลยทั้งสองถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกข้อหาบุกรุก หลังจากพ้นโทษแล้วจำเลยทั้งสองได้มาบุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงดังกล่าวอีก เป็นเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอม ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดิน และส่งมอบให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยได้ครอบครองและทำประโยชน์ปลูกบ้านและไม้ผลยืนต้นไว้ในที่ดินพิพาทมานานแล้ว แม้จำเลยทั้งสองจะถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาลนี้แต่บริวารของจำเลยก็ยังครอบครองที่ดินพิพาทแทนตลอดมาโดยเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี จนได้สิทธิครอบครองตามกฎหมายแล้ว โจทก์มิได้ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 131 และ 140 ห้ามมิให้เข้าไปเกี่ยวข้องที่ดินดังกล่าวอีก ให้จำเลยส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อปี 2526 จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินเป็นของตนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 131 และเลขที่140 คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 1 งาน ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมายจ.6 โจทก์ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1852/2528 ของศาลชั้นต้น ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ถูกจำคุกอยู่นั้นภริยาและบุตรของจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่ในบ้านและทำไร่ทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบันมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1แย่งการครอบครองที่ดินตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6 จนได้สิทธิครอบครองแล้วหรือไม่ และโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่

จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ถูกจำคุกอยู่นั้นบุตรและภริยาของจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนกระทั่งจำเลยที่ 1 พ้นโทษ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกิน1 ปีแล้วจำเลยที่ 1 จึงได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่าแม้บุตรและภริยาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 จะได้ครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างที่โจทก์ดำเนินคดีอาญากล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกครอบครองที่พิพาทของโจทก์ก็ตาม แต่ก็จะถือว่าเป็นการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367หาได้ไม่ เพราะเป็นเพียงการครอบครองแทนผู้ชนะคดีเท่านั้น และปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีอาญาเมื่อวันที่20 พฤศจิกายน 2529 การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 คดีนี้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2530 จึงยังไม่เกิน 1 ปี จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th